วิกฤตร้อนสุดขั้ว! ทั่วโลกเผชิญ “วันร้อนจัด” เพิ่มขึ้น 25%

การวิเคราะห์ล่าสุดพบว่า เมืองหลวงใหญ่ที่สุดของโลกประสบปัญหาวันร้อนจัดเพิ่มขึ้น ร้อยละ 25 ต่อปี โดยจากข้อมูลแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญของจำนวนวันที่แต่ละเมืองประสบกับอุณหภูมิที่สูงกว่า 35∘C โดยเป็นการเปรียบเทียบระหว่างช่วงพ.ศ. 2537-2546) กับช่วง 2558-2567 โดยมีหลายเมืองใหญ่ที่ร้อนสุดขั้วอย่างเห็นได้ชัด 

โดยเมืองที่พบการเพิ่มขึ้นของวันที่ร้อนจัดมากที่สุดส่วนใหญ่อยู่ในทวีปเอเชียและตะวันออกกลาง โดยมะนิลา (Manila) ประเทศฟิลิปปินส์ มีการเพิ่มขึ้นสูงสุดถึง +36 วัน รองลงมาคือแบกแดดเพิ่มขึ้น 33 วัน ส่วนกัวลาลัมเปอร์ (Kuala Lumpur) และ เดลี (Delhi) ก็เพิ่มขึ้นสูงเช่นกันที่ 32 วัน และ 29 วัน ตามลำดับ ตัวเลขเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าเมืองเหล่านี้ต้องเผชิญกับวันที่มีความร้อนสูงกว่า 35∘C เพิ่มขึ้นเกือบ หนึ่งเดือนเต็ม เมื่อเทียบกับสองทศวรรษที่แล้ว ซึ่งสร้างความท้าทายอย่างมากต่อระบบสาธารณสุข สาธารณูปโภค และความเป็นอยู่ของประชากร

แม้แต่เมืองที่เคยมีอากาศค่อนข้างเย็นสบายหรืออยู่ในเขตภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียนก็แสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าเป็นห่วง อย่างมาดริด (Madrid) เมืองหลวงของสเปน มีจำนวนวันร้อนจัดเพิ่มขึ้นถึง 22 วัน ปักกิ่ง (Beijing) และ โรม (Rome) มีจำนวนวันเพิ่มขึ้น 13 วัน เท่ากัน

การเพิ่มขึ้นของจำนวนวันที่ร้อนจัดเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลข แต่สะท้อนถึง ความเสี่ยงต่อสุขภาพ: การเพิ่มขึ้นของวันที่ร้อนจัดย่อมนำไปสู่ความเสี่ยงที่สูงขึ้นของโรคลมแดด (Heatstroke) และปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับความร้อน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุและผู้มีรายได้น้อย นอกจากนี้ยังเชื่อมโยงไปถึงความต้องการใช้พลังงานที่สูงขึ้น: การใช้เครื่องปรับอากาศที่เพิ่มขึ้นในวันที่ร้อนจัด จะทำให้ความต้องการพลังงานไฟฟ้าสูงขึ้นอย่างมาก ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาไฟฟ้าดับ (Blackouts) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่มากขึ้นตามมา และ ตัวเลขที่สูงในเมืองใหญ่เป็นพิเศษอาจได้รับอิทธิพลจากปรากฏการณ์เกาะความร้อนในเมือง (Urban Heat Island Effect) ที่ทำให้อุณหภูมิในตัวเมืองสูงกว่าพื้นที่รอบนอก ดังนั้น ปัญหานี้ไม่สามารถแก้ได้ด้วยการติดแอร์เพียงอย่างเดียว เมืองต่าง ๆ จำเป็นต้องได้รับงบประมาณเร่งด่วนเพื่อปรับปรุงการก่อสร้างและระบายอากาศ พัฒนามาตรการรับมือคลื่นความร้อน และสร้างพื้นที่ร่มเงาให้มากที่สุด

นี่ก็เป็นอีกหนึ่งหลักฐานที่ชี้ชัด และตอกย้ำถึงความเร่งด่วนที่ทั่วโลกต้องดำเนินการเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและปรับตัวต่อผลกระทบของวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่กำลังคุกคามความเป็นอยู่ของผู้คนในเมืองใหญ่ทั่วโลก