รีเซต

เมื่อประเทศร่ำรวยหมดไฟ ประเทศยากจนเลยต้องลุกขึ้นสู้ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้!

เมื่อประเทศร่ำรวยหมดไฟ ประเทศยากจนเลยต้องลุกขึ้นสู้ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้!
TNN ช่อง16
17 พฤศจิกายน 2568 ( 11:00 )
9

ประเทศร่ำรวยเริ่มสูญเสียความกระตือรือร้นในการต่อสู้กับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ขณะที่จีนก้าวหน้าทั้งด้านการผลิตและใช้เทคโนโลยีพลังงานสะอาด นี่เป็นคำกล่าวของ “อังเดร กอร์เรีย ดู ลาโก” นักการทูตบราซิลผู้รับผิดชอบการประชุม COP30 ที่เริ่มขึ้นในวันจันทร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

เขากล่าวว่าประเทศต่าง ๆ ควรเอาจีนเป็นตัวอย่าง แทนที่จะบ่นว่าถูกแซงหน้า “ความกระตือรือร้นที่ลดลงของกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว กำลังแสดงให้เห็นว่ากลุ่มประเทศกำลังพัฒนากำลังเคลื่อนไหว เรื่องนี้ไม่ใช่แค่ปีนี้ แต่ดำเนินมาตลอดหลายปี เพียงแต่ยังไม่ได้รับความสนใจเท่าปีนี้” กอร์เรีย ดู ลาโกกล่าว

สำหรับ “จีน” ซึ่งเป็นประเทศผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดของโลก และเป็นผู้ผลิตและบริโภคพลังงานคาร์บอนต่ำมากที่สุด กำลังคิดค้นวิธีแก้ปัญหาที่ทุกคนสามารถใช้ได้ ไม่ใช่แค่จีนเท่านั้น อย่างเช่นแผงโซลาร์ราคาถูก ที่สามารถแข่งขันได้กับพลังงานฟอสซิล และถูกใช้อย่างแพร่หลายแล้ว ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดีต่อการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ในการประชุม COP30 รัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่ระดับสูงจาก 194 ประเทศจะร่วมกันวางแผนเพื่อลดอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส ตามข้อตกลงปารีส รวมถึงจัดทำแผนยกเลิกการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล และรับประกันว่าประเทศยากจนจะได้รับความช่วยเหลือที่จำเป็น

วาระสำคัญคือแผนระดับชาติในการลดก๊าซเรือนกระจก ซึ่งหากทุกประเทศยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรือมีแผนที่ชัดเจน อุณหภูมิโลกอาจสูงขึ้นถึง 2.5 องศาเซลเซียส ดังนั้นประเทศที่เสี่ยงต่อผลกระทบเลยต้องการแผนที่ชัดเจนว่าแต่ละประเทศจะทำมากกว่าที่เคยประกาศเพื่อให้บรรลุเป้าหมายข้อตกลงปารีส

ด้าน “อิลานา ซีด” เอกอัครราชทูตประเทศปาเลา ประจำสหประชาชาติ และโฆษกกลุ่มประเทศเกาะเล็ก (AOSIS) กล่าวว่า การกำหนดเส้นทางโลกเพื่อลดก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจังถือเป็นสิ่งสำคัญ “ความก้าวหน้าจนถึงตอนนี้ยังไม่เพียงพอ เราต้องตอบสนอง มิฉะนั้นเราจะไม่รู้ว่าเรากำลังไปทางไหน” เธอกล่าว

เจ้าภาพบราซิลมุ่งเน้นไปที่ “การปฏิบัติจริง” หรือการลงมือทำตามคำมั่นสัญญาที่มีอยู่ เช่น การลดก๊าซเรือนกระจก การเพิ่มพลังงานหมุนเวียน 3 เท่าภายในปี พ.ศ. 2573 และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน 2 เท่า แต่กลุ่ม AOSIS ต้องการมากกว่านี้ โดยชี้ว่าหากไม่มีนโยบายลดการปล่อยก๊าซอย่างรวดเร็ว เป้าหมาย 1.5 องศาเซลเซียสจะสูญหาย

นอกจากนี้ กลุ่มประเทศยากจนยังต้องการความมั่นใจว่าจะได้รับเงินช่วยเหลือที่เคยสัญญาไว้เพื่อปกป้องพวกเขาจากผลกระทบของวิกฤตสภาพภูมิอากาศ นอกจากนี้ยังมีการหารือเกี่ยวกับเส้นทางการลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลของโลก แม้บราซิลจะพยายามหลีกเลี่ยงความขัดแย้งตั้งแต่การเตรียมงานกว่า 6 เดือน แต่ความเห็นต่างเกี่ยวกับวาระการประชุมยังคงมีโอกาสเกิดขึ้น

ขณะเดียวกัน การวิเคราะห์จากบริษัทดาวเทียม Kayrros เผยว่า คำมั่นสัญญาสำคัญเรื่องการลดการปล่อยก๊าซมีเทน ที่หลายประเทศใหญ่ประกาศใน COP26 ปี พ.ศ. 2564 ได้ถูกทำลายไปแล้ว หลังจาก 159 ประเทศลงนามไว้ แต่การปล่อยก๊าซจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 18% จากกิจการน้ำมันและก๊าซ ขณะที่คูเวตและออสเตรเลียทำได้ดีขึ้น

ด้าน “อองตัวน รอสแตนด์” ประธาน Kayrros กล่าวว่า “แม้จะมีคำมั่นสัญญาปีแล้วปีเล่า แม้ว่าสภาพภูมิอากาศจะแย่ลง การปล่อยก๊าซมีเทนยังเพิ่มขึ้น ชัดเจนมาก นาฬิกากำลังเดินต่อไป เราต้องหวังว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง”

สำหรับ “มีเทน” เป็นก๊าซเรือนกระจกที่มีความรุนแรงกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ 80 เท่า และเป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อนประมาณ 1 ใน3 ดังนั้นการลดการปล่อยมีเทนอาจเป็น “เบรกฉุกเฉิน” สำหรับอุณหภูมิโลก แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่มีประเทศใดดำเนินมาตรการอย่างจริงจัง

“เดอร์วูด เซลค์” ประธานสถาบันเพื่อธรรมาภิบาลและการพัฒนาที่ยั่งยืน กล่าวว่า ประเทศต่าง ๆ ควรลงนามข้อตกลงมีเทนระดับโลกใหม่ที่มีผลบังคับใช้ แทนการใช้คำมั่นสัญญาที่ไม่บังคับ “เมื่อการปล่อยยังสูงอยู่ คำมั่นสัญญาแบบสมัครใจไม่เพียงพอ เราจำเป็นต้องมีกฎหมายของก๊าซมีเทนที่เข้มแข็ง”

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง