รีเซต

ปรากฏการณ์ “มังกรผงาด” โค่นบัลลังก์ “ซามูไร”: ผ่าลึกเบื้องหลังยอดจองมอเตอร์โชว์ เมื่อค่ายรถจีนยึดหัวหาดตลาดไทย

ปรากฏการณ์ “มังกรผงาด” โค่นบัลลังก์ “ซามูไร”: ผ่าลึกเบื้องหลังยอดจองมอเตอร์โชว์ เมื่อค่ายรถจีนยึดหัวหาดตลาดไทย
epapipe
20 ธันวาคม 2568 ( 21:14 )
18

งานมหกรรมยานยนต์ หรือ “มอเตอร์โชว์” ในประเทศไทย ถือเป็นดัชนีชี้วัดสุขภาพเศรษฐกิจและทิศทางรสนิยมของผู้บริโภคที่แม่นยำที่สุดงานหนึ่งมาโดยตลอด หากย้อนกลับไปเพียงไม่กี่ปี ภาพจำที่เราคุ้นเคยคือการครองอันดับยอดจองสูงสุดแบบเบ็ดเสร็จของค่ายรถยนต์จากญี่ปุ่น อย่าง โตโยต้า, ฮอนด้า และอีซูซุ แต่ในช่วง 1-2 ปีหลังมานี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในงานล่าสุด ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงระดับ “ธรณีสูบ” เมื่อรายชื่อใน 10 อันดับแรก (Top 10) ถูกสอดแทรกและแซงหน้าด้วยแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้า (EV) จากประเทศจีน ไม่ว่าจะเป็น BYD, AION, CHANGAN หรือ GWM ปรากฏการณ์นี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลลัพธ์ของการเปลี่ยนผ่านโครงสร้างอุตสาหกรรมยานยนต์ที่รุนแรงและรวดเร็ว บทความนี้จะวิเคราะห์เจาะลึกถึงปัจจัยที่ทำให้ค่ายรถจีนผงาดขึ้นมาเป็นผู้นำ และทิศทางของตลาดรถยนต์ไทยในอนาคต

 

 

ปัจจัยแห่งชัยชนะ: ทำไมรถไฟฟ้าจีนถึงชนะใจคนไทย?

การที่ยอดจองรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนพุ่งทะยานจนแซงหน้ารถสันดาปจากญี่ปุ่นในกลุ่มรถยนต์นั่งส่วนบุคคล เกิดจากส่วนผสมที่ลงตัวของ 4 ปัจจัยหลัก ดังนี้:

  1. สงครามราคาและความคุ้มค่า : ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจัยเรื่อง “ราคา” คือหัวใจสำคัญ ค่ายรถจีนใช้กลยุทธ์การตั้งราคาที่ดุดัน (Aggressive Pricing) ด้วยโครงสร้างต้นทุนการผลิตแบตเตอรี่ที่ต่ำกว่าและการบริหารจัดการ Supply Chain ที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ผู้บริโภคสามารถเป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าที่มีสมรรถนะเทียบเท่ารถยุโรป หรือออปชั่นเหนือกว่ารถญี่ปุ่น ในราคาที่ต่ำกว่าหรือใกล้เคียงกัน ความรู้สึก “คุ้มค่า” จึงเป็นแรงจูงใจหลักในการตัดสินใจ
  2. เทคโนโลยีและนวัตกรรม : รถยนต์จากจีนไม่ได้ขายแค่สมรรถนะการขับขี่ แต่ขาย “ประสบการณ์” แบบ Gadget เคลื่อนที่ การออกแบบภายในที่ล้ำสมัย หน้าจอขนาดใหญ่ ระบบสั่งงานด้วยเสียงที่ฉลาด และระบบช่วยเหลือการขับขี่ (ADAS) ที่ใส่มาให้ครบตั้งแต่รุ่นเริ่มต้น ซึ่งแตกต่างจากค่ายญี่ปุ่นที่มักจะกั๊กออปชั่นไว้ในรุ่นท็อป ทำให้ภาพลักษณ์ของรถจีนดู “ทันสมัย” และตอบโจทย์คนรุ่นใหม่มากกว่า
  3. นโยบายสนับสนุนจากภาครัฐ : มาตรการ EV 3.0 และต่อเนื่องมาถึง EV 3.5 ของรัฐบาลไทย ทั้งส่วนลดเงินสดและการลดภาษีสรรพสามิต เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาที่สำคัญที่สุด ที่ช่วยลดช่องว่างของราคาระหว่างรถ EV และรถสันดาป (ICE) ลง ทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้รถไฟฟ้าได้ง่ายขึ้น
  4. ความเชื่องช้าในการปรับตัวของค่ายญี่ปุ่น : ในขณะที่โลกกำลังมุ่งสู่ EV ค่ายรถญี่ปุ่นส่วนใหญ่ยังคงยึดมั่นในเทคโนโลยีไฮบริด (HEV) หรือรถสันดาป และขาดแคลนผลิตภัณฑ์รถยนต์ไฟฟ้าล้วน (BEV) ที่น่าสนใจในตลาด การขาดตัวเลือกที่หลากหลายจากแบรนด์ที่คนไทยภักดี ทำให้ผู้บริโภคที่ต้องการเทคโนโลยีใหม่จำต้องหันไปหาแบรนด์จีนแทน

วิเคราะห์สถานการณ์: สมรภูมิระหว่าง “ไฟฟ้า” และ “สันดาป”

สถานะปัจจุบัน: ตลาดรถยนต์ไทยกำลังอยู่ในช่วง “จุดเปลี่ยนผ่าน” (Tipping Point) อย่างแท้จริง

  • ตลาดรถยนต์นั่ง (Passenger Cars): รถยนต์ไฟฟ้าจากจีนกำลังยึดครองส่วนแบ่งตลาดอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในกลุ่ม B-SUV และ C-SUV ซึ่งเคยเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของค่ายญี่ปุ่น ยอดจองในงานมอเตอร์โชว์สะท้อนให้เห็นว่า สำหรับการใช้งานในเมืองและการเดินทางทั่วไป ผู้บริโภคเริ่มมองว่ารถสันดาปเป็นเทคโนโลยีเก่า และพร้อมเปิดใจรับแบรนด์ใหม่
  • ตลาดรถกระบะและเพื่อการพาณิชย์ (Commercial Vehicles): นี่คือป้อมปราการสุดท้ายที่แข็งแกร่งที่สุดของค่ายรถญี่ปุ่น (โดยเฉพาะ อีซูซุ และ โตโยต้า) เนื่องจากข้อจำกัดด้านการบรรทุกหนักและระยะทางวิ่งของรถ EV ยังไม่ตอบโจทย์การใช้งานเชิงพาณิชย์ได้สมบูรณ์ 100% ยอดขายในส่วนนี้จึงยังคงประคองให้ค่ายญี่ปุ่นยังติดอยู่ใน Top 3 ของตารางยอดขายรวมได้

 

 

อนาคต (Future Outlook): การต่อสู้ระลอกใหม่

แม้ในงานมอเตอร์โชว์ครั้งล่าสุด ค่ายจีนจะดูเหมือนเป็นผู้ชนะ แต่สงครามยานยนต์ยังไม่จบลงง่ายๆ ในระยะยาวเราจะได้เห็นภาพการแข่งขันที่เปลี่ยนไป ดังนี้:

  1. การโต้กลับของ “พญาอินทรี” และ “ซามูไร”: ค่ายรถญี่ปุ่นและยุโรปเริ่มตื่นตัวและเตรียมส่งรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ เข้าสู่ตลาดเพื่อทวงคืนบัลลังก์ ในขณะเดียวกัน เทคโนโลยีไฮบริด (HEV/PHEV) จะยังคงเป็นทางเลือกที่สำคัญสำหรับผู้ที่ไม่พร้อมสำหรับโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จ ซึ่งค่ายญี่ปุ่นมีความเชี่ยวชาญสูง
  2. การคัดเลือกตามธรรมชาติ : ปัจจุบันมีแบรนด์รถจีนเข้ามาทำตลาดในไทยจำนวนมาก ในอนาคตจะเกิดการคัดกรอง แบรนด์ที่ไม่มีความพร้อมด้านบริการหลังการขาย อะไหล่ หรือการบริหารจัดการ จะล้มหายตายจากไป เหลือเพียง “ตัวจริง” ไม่กี่รายที่ครองตลาดอย่างยั่งยืน ผู้บริโภคจะเริ่มให้ความสำคัญกับ “ความเชื่อมั่นระยะยาว” มากกว่าแค่ “ราคาถูก”
  3. สงครามราคาที่จะรุนแรงขึ้น: เมื่อ Supply ล้นตลาด การตัดราคาจะยังคงดำเนินต่อไป ซึ่งเป็นผลดีต่อผู้บริโภค แต่เป็นความเสี่ยงต่อผู้ประกอบการ ทั้งในแง่ของกำไรและราคาขายต่อของรถมือสองที่อาจผันผวนหนัก

 

 

ยอดจอง 10 อันดับแรกในงานมอเตอร์โชว์ที่ผ่านมา ไม่ใช่เพียงตัวเลขทางสถิติ แต่คือหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าพฤติกรรมคนไทยได้เปลี่ยนไปแล้ว ความจงรักภักดีต่อแบรนด์ (Brand Loyalty) ถูกแทนที่ด้วย ความคุ้มค่าและเทคโนโลยี (Value & Innovation) ค่ายรถจีนได้ใช้จังหวะที่ค่ายญี่ปุ่นขยับตัวช้า เข้ายึดครองพื้นที่ในใจผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงยกแรกของการแข่งขัน ในอนาคตตลาดรถยนต์ไทยจะไม่ได้แบ่งแค่ “จีน vs ญี่ปุ่น” แต่จะเป็นการแข่งขันระหว่าง “เทคโนโลยีที่ตอบโจทย์” ไม่ว่าขุมพลังนั้นจะมาจากไฟฟ้าหรือน้ำมัน ผู้ที่ปรับตัวได้เร็วที่สุด เข้าใจผู้บริโภคที่สุด และดูแลลูกค้าได้ดีที่สุดเท่านั้น จึงจะเป็นผู้ชนะที่แท้จริงในสมรภูมิยานยนต์ยุคใหม่นี้ครับ

Photo Credit : AI Generated 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง