รีเซต

BCH พลิกวิกฤตเป็นโอกาส โบรกชี้เป็นอีก 1 ปีทอง

BCH พลิกวิกฤตเป็นโอกาส โบรกชี้เป็นอีก 1 ปีทอง
ทันหุ้น
17 พฤษภาคม 2564 ( 15:35 )
50
BCH พลิกวิกฤตเป็นโอกาส โบรกชี้เป็นอีก 1 ปีทอง

 

ทันหุ้น - บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LHSEC) ออกบทวิเคราะห์ หุ้น บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH กำไร Q1/64 เติบโต 24.9% YoY และ 16.3% QoQ รับผลบวกของการตรวจโควิดและคุมเข้มรายจ่าย โดยโควิดระลอก 3 ที่แพร่ระบาดรุนแรง เป็นปัจจัยหนุนการเติบโตงวด Q2/64 อย่างมีนัยยะ ทั้งกรณีโควิดยืดเยื้อถึงครึ่งปีหลัง หรือจบเร็วเกินคาด ล้วนเป็นผลดีกับ BCH ในปีนี้ ประเมินราคาเป้าหมายใหม่ที่ 22 บาท upside 19.6% บวกกับงวด Q2/64 ได้อานิสงส์เชิงบวกจากการให้บริการรักษาโควิดร่วมภับภาครัฐ หนุนกำไรเติบโตโดดเด่น  ยืนยัน “ซื้อ”  และเลือกเป็น Top pick กลุ่ม

 

ประเด็นการลงทุน

กำไร Q1/64 เติบโต 24.9% YoY และ 16.3% QoQ รับผลบวกของการตรวจโควิดและคุมเข้มรายจ่าย  โดยรายได้จากการให้บริการเติบโต 6.4% YoY  หลัก ๆ จากรายได้ผู้ป่วยทั่วไปเติบโต 9.5% YoY จากการแพร่ระบาดโควิดระลอก 2 ทำให้มีผู้เข้ามาเข้ารับบริการตรวจคัดกรองโรคโควิด-19 จำนวนมาก และมีผู้รับการบริการกักกันตนทางเลือก 14 วัน (ASQ)  ขณะรายได้โครงการประกันสังคมเพิ่มขึ้นเพียง 0.92% YoY  เพราะผู้ประกันตนเพิ่มขึ้นเพียง 3,480 ราย ส่งผลให้ผู้ประกันตนเฉลี่ย Q1/64 อยู่ที่ 8.8 แสนราย เพิ่มขึ้น 0.4% YoY จากผลกระทบของโควิดซึ่งทำให้ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 และ 39 ลดลง ขณะอัตรากำไรขั้นต้นลดลงจาก Q1/63 30 bps. 

 

อย่างไรก็ตาม BCH มีการคุมเข้มรายจ่าย ส่งผลให้ค่าใช้จ่าย SG&A ลดลงจาก Q1/63 ราว 2 ล้านบาท นอกจากนี้รายได้อื่นเพิ่มขึ้น 48.34 ล้านบาทจาก Q1/63 ส่วนใหญ่เกิดจากการกลับรายการค่าใช้จายในส่วนของค่าธรรมเนียมแนะนำคนไข้ชาวต่างชาติ เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงในสัญญาฉบับใหม่กับตัวแทน โดยบริษัทมีการให้ส่วนลดรายได้เมื่อมีการรับชำระเงินจากลูกหนี้แทน ทั้งนี้หากเทียบ QoQ กำไรเพิ่มขึ้น 16.3% QoQ แม้รายได้ทรงตัว เกิดจากการคุมเข้มรายจ่าย ทำให้ SG&A ลดลงถึง 20% QoQ และรายได้อื่นเพิ่มขึ้น 37 ล้านบาท จากการกลับรายการค่าธรรมเนียมแนะนำคนไข้ต่างชาติดังกล่าวข้างต้น

 

โควิดระลอก 3 ที่แพร่ระบาดรุนแรง เป็นปัจจัยหนุนการเติบโตงวด Q2/64 อย่างมีนัยยะ เนื่องจากปัจจุบันจำนวนเตียงทั้งรพ.ภาครัฐและภาคเอกชนไม่เพียงพอรองรับผู้ป่วยโควิด BCH ได้เพิ่มจำนวนเตียงรองรังผู้ป่วยโควิดเป็น 900 เตียง รวมถึงได้ร่วมกับผู้ประกอบการโรงแรมกว่า 14 แห่ง เพื่อเป็น Hospitel  รองรับผู้ป่วยติดเชื้อที่ไม่มีอาการหรืออาการน้อย โดยมีจำนวนเตียงมากถึง 3,300 เตียง  

 

นอกจากนี้คนไข้ตามนิยามผู้สงสัยติดเชื้อยังสามารถเข้ารับบริการตรวจคัดกรองโควิดกับรพ.ในกลุ่ม BCH โดยไม่มีค่าใช้จ่าย โดยทาง BCH จะเคลมกับสำนักหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ อีกทั้งกลุ่ม BCH ได้ร่วมกับภาครัฐให้บริการฉีดวัคซีนไปบ้างแล้วตามกลุ่มเป้าหมายที่กำหนด และเป็นรพ.ที่ประชาชนสามารถเลือกรับบริการฉีดวัคซีนป้องกันโควิดของภาครัฐ และเตรียมนำเข้าวัคซีน Moderna ผ่านองค์การเภสัช หลังภาครัฐไฟเขียว เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าของตนเองที่ประสงค์จ่ายเงินเอง 

 

ขณะที่ BCH เลื่อนแผนการเปิดรพ. เกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชันแนล ที่เวียงจันทน์ ไปเป็นช่วง Q3/64 แทน เนื่องจาก สปป. ลาว อยู่ระหว่างช่วงล็อคดาวน์ปิดประเทศ ทั้งนี้การร่วมมือกับภาครัฐในการให้บริการตรวจคัดกรองและรักษาโควิดแบบครบวงจร และเป็นรพ.มีจำนวนเตียงรองรับผู้ป่วยโควิดและผู้ที่ต้องกักกันตนเองมากสุด ส่งผลให้คาดว่ากำไรงวด Q2/64 จะเติบโตโดดเด่นทั้ง QoQ และ YoY 

 

ทั้งกรณีโควิดยืดเยื้อถึงครึ่งปีหลัง หรือจบเร็วเกินคาด ล้วนเป็นผลดีกับ BCH ในปีนี้   หากโควิดระลอก 3 จบเร็วเกินคาด ผู้ป่วยต่างชาติ โดยเฉพาะในตะวันออกกลาง ที่ทางรพ. WMC ทำสัญญากับสถานฑูตหลายประเทศในตะวันออกกลาง จะทยอยมารับการรักษา ซึ่งส่วนใหญ่เดินทางมารับการรักษาแผลกดทับเบาหวาน เพราะ BCH มีแพทย์ที่เชียวชาญด้านนี้โดยตรง และมีเครื่องมือทันสมัยในการฆ่าเชื้อแผลเบาหวาน รวมถึงศูนย์ VIF เด็กหลอดแก้ว ที่เริ่มเปิดให้บริการในปีก่อน คาดว่าจะมีชาวจีนมารับบริการจำนวนมาก  แต่หากโควิดระลอก 3 ยืดเยื้อต่อไป BCH ยังคงได้ประโยชน์จากความพร้อมในการให้บริการผู้ป่วยโควิดมากสุดในกลุ่มรพ. 

 

ด้วยผลดังกล่าว บวกกับกำไรงวด Q1/64 ที่ออกมาดีเกินคาด ทำให้ฝ่ายวิจัยปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 64 และปี 65 ราว 12% และ 6%  ตามลำดับ โดยกำไรสุทธิใหม่ปี 64 อยู่ที่ 1,471 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.7% YoY  และจะเติบโตอีก 6.2% ในปี 65 หลังจากไทยเปิดประเทศแล้ว เมื่อภาครัฐสามารถกระจายวัคซีนฉีดให้ประชากรไทยได้ 70% ตามแผนที่วางไว้

 

ฝ่ายวิจัยระเมินราคาเป้าหมายใหม่ที่ 22 บาท upside 19.6% บวกกับงวด Q2/64 ได้อานิสงส์เชิงบวกจากการให้บริการรักษาโควิดร่วมกับภาครัฐ หนุนกำไรโดดเด่น  ยืนยัน “ซื้อ” และเลือกเป็น Top pick กลุ่ม

 

ด้านปัจจัยเสี่ยง คือ รพ.ใหม่ที่เปิดปีนี้ 2 แห่ง เป็นปัจจัยกดดันประสิทธิภาพการทำกำไรในช่วง 1-2 ปี 

 

 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง