รีเซต

คาดเม็ดเงินต่างชาติไหลกลับตราสารหนี้ไทย 2 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ

คาดเม็ดเงินต่างชาติไหลกลับตราสารหนี้ไทย 2 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ
TNN ช่อง16
22 ธันวาคม 2563 ( 12:43 )
54
คาดเม็ดเงินต่างชาติไหลกลับตราสารหนี้ไทย 2 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ

ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์ ผู้อำนวยการอาวุโส Chief Investment Office บริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBS CIO) เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)ในวันที่ 23 ธ.ค.นี้ คาดว่า กนง.คงดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.50% ตามที่ตลาดคาดไว้ โดยในครั้งนี้ โดยคาดว่า เศรษฐกิจไทยปรับตัวดีขึ้นแต่ยังมีแนวโน้มฟื้นตัวช้า และอาจให้มุมมองในเชิงระมัดระวังตัวมากขึ้นหลังเกิดการระบาดครั้งล่าสุดที่สมุทรสาคร การประสานงานระหว่างภาครัฐและการใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายจึงยังมีความจำเป็นอยู่มากอัตราดอกเบี้ยและบอนด์ยีลด์ไทยจะไม่ผันผวนแรง เนื่องจากไม่ได้มีสินทรัพย์อื่นที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าด้วยระดับความเสี่ยงเดียวกัน

ทั้งนี้การที่ยีลด์พันธบัตรรัฐบาลอายุสองปีขยับลงมาที่ระดับ 0.41% ต่ำกว่าดอกเบี้ยนโยบายและต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ ชี้ว่านักลงทุนยังคงกลัวความเสี่ยง และสภาพคล่องในระบบยังอยู่ในระบบสูง  เชื่อว่าถ้าเริ่มเห็นความคืบหน้าของการเปิดการท่องเที่ยวในที่สุด น่าจะทำให้เงินเหล่านี้กลับเข้าสู่ตลาดทุน และคงมุมมองเดิมว่ายีลด์สองปีจะปรับตัวขึ้นไปที่ระดับ 0.75% ได้ในปลายปี64 ตามทิศทางของบอนด์ยีลด์โลก

ส่วนยีลด์ระยะยาว 10 ปี คาดว่าจะแกว่งตัวในระดับ 1.25-1.45% ไปจนถึงสิ้นปี และคาดการณ์ว่าในปีหน้า ยีลด์สิบปีไทยสามารถปรับตัวขึ้นไปที่ระดับ 1.70% ได้ อย่างไรก็ดีโอกาสที่ยีลด์จะปรับตัวสูงขึ้นทันทีนั้นมีไม่มาก เพราะเงินบาทที่แข็งค่าจะทำให้บอนด์ไทยมีความน่าสนใจจากทั้งนักลงทุนไทยและต่างชาติ

อย่างไรก็ตาม  การคงดอกเบี้ยที่ระดับต่ำของธปท.ไม่ได้ส่งผลกระทบกับมุมมองของนักลงทุนต่างชาติ เพราะมีเพียงส่วนน้อยที่เข้าลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นเพื่อเก็งกำไรค่าเงิน และกว่าครึ่งเน้นลงทุนบอนด์ระยะกลาง คาดว่านักลงทุนต่างชาติกลับเข้าซื้อบอนด์ไทยในปีหน้าที่ระดับ 1-2 หมื่นล้านดอลลาร์ ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยในช่วงปี 59-62 แต่ในฝั่งหุ้นไทยเชื่อว่าจะกลับมีแรงขายเล็กน้อยเพราะต้องปรับสัดส่วนการลงทุนใน Emerging Markets ใหม่เมื่อตลาดหุ้นจีนได้รับการเลือกเข้ามาในดัชนีมากขึ้น จึงอาจเห็นเงินทุนไหลออกอยู่

สำหรับค่าเงินบาทนั้นเชื่อว่าธปท.จะแสดงความกังวลกับการแข็งค่าของเงินบาทที่เกิดขึ้นอย่างเร็วในช่วงนี้ แต่ไม่น่าจะมีนโยบายกำกับหรือแทรกแซงค่าเงินบาทในช่วงปีนี้ไปถึงปีหน้าได้มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อประเทศไทยถูกจัดเข้าสู่ลิสต์การเฝ้าระวังของกระทรวงการคลังสหรัฐ

ส่วนมุมมองในอนาคต ประเมินว่าเงินบาทจะซื้อขายที่ระดับ 29.75-30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในช่วงสิ้นปีนี้ แต่ในปีหน้าเชื่อว่าสกุลเงินเอเชียและเงินบาทจะได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ขณะที่เงินดอลลาร์ก็มีโอกาสอ่อนค่าจากนโยบายการคลังในสหรัฐที่สูงกว่าประเทศอื่น และคาดว่าเงินบาทจะแข็งค่าลงไปแตะระดับ 28.9 ภายในปลายปี 2021

"ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธปท.ครั้งนี้ จะไม่ทำให้ภาพตลาดเงินในประเทศเปลี่ยนแปลงมาก และเชื่อว่าบอนด์ยีลด์ไทยจะอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง พร้อมกันกับที่เงินบาทก็มีโอกาสแข็งค่า ดังนั้นสำหรับนักธุรกิจไทย สามารถมองเป็นโอกาสที่จะทำการกู้ยืมในช่วงดอกเบี้ยต่ำเพื่อธุรกิจในระยะยาว แต่ผู้ส่งออกอาจต้องเตรียมพร้อมกับการแข็งค่าของเงินบาท ในอนาคตมากขึ้นโดยอาจเลือกใช้สกุลเงินของประเทศคู่ค้าในการทำธุรกรรมมากขึ้น หรือทำประกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนไปพร้อมกันด้วย"

ด้านนักลงทุนประเด็นที่ต้องคำนึงถึงมากขึ้นในการลงทุนคือสัดส่วนการลงทุนในบอนด์ไทย ซึ่งปัจจุบันให้ผลตอบแทนที่ต่ำมากเป็นความเสี่ยงต่อเป้าหมายการลงทุนระยะยาว แนะนำใช้เงินบาทที่แข็งค่าให้เป็นประโยชน์ ด้วยการเพิ่มการลงทุนในต่างประเทศ โดยแนะนำผสมผสานการลงทุนทั่วโลก ทั้งในกองทุนหุ้นกลุ่มปรับตัวขึ้นตามวัฏจักรเศรษฐกิจ (Cyclical) และหุ้นขนาดใหญ่ที่คาดว่าจะให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ (Income) ไปพร้อมกัน 


เกาะติดข่าวที่นี่

website: www.TNNTHAILAND.com
facebook : TNNONLINE
facebook live : TNN Live
twitter : TNNONLINE
Line : @TNNONLINE
Youtube Official : TNNONLINE
Instagram : TNN_ONLINE
TIKTOK : @TNNONLINE

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง