รีเซต

ทุบสถิติ! ดีลเทคโอเวอร์พุ่ง เซ่นพิษ "ภาษีทรัมป์"

ทุบสถิติ! ดีลเทคโอเวอร์พุ่ง เซ่นพิษ "ภาษีทรัมป์"
TNN ช่อง16
29 กันยายน 2568 ( 12:12 )
8

รายงานข่าวจาก รอยเตอร์ส ระบุว่า นโยบายภาษีนำเข้าของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา กำลังผลักดันให้เกิดการซื้อขายกิจการในกลุ่มธุรกิจเครื่องแต่งกายและรองเท้าเพิ่มขึ้น โดยบางบริษัทควบรวมกิจการกัน เพื่อต้องการชดเชยต้นทุนจากภาษีศุลกากรใหม่และบางรายตัดสินใจถอนตัวออกจากตลาดหุ้น เพื่อรับมือกับสถานการณ์ในช่วงที่ประธานาธิบดี ทรัมป์ ยังดำรงตำแหน่งอยู่ กับวาระที่เหลืออีก 3 ปีครึ่ง แม้บางดีล จะเริ่มต้นก่อนภาษีนำเข้าใหม่จะประกาศใช้ แต่นโยบายดังกล่าว ถือเป็นตัวเร่งให้เกิดเร็วขึ้นในท่ามกลางความโกลาหน แต่ขณะเดียวกันก็เป็นโอกาสใหม่ ๆ สำหรับผู้ประกอบการทั้งแบรนด์ รวมถึงผู้ค้าปลีก ในการทำข้อตกลงเพื่อปรับตัวให้อยู่รอดในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป

ดีลการซื้อขายกิจการ ที่ประกาศไปแล้วตั้งแต่ต้นปี จนถึงปัจจุบัน (ณ เดือนกันยายน) มีมูลค่าประมาณ 21,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเมื่อตรวจสอบดูข้อมูลย้อนหลัง ตามข้อมูลของ LSEG ที่ย้อนหลังไปถึงช่วงทศวรรษ 1970 พบว่า มูลค่าของดีลเทคโอเวอร์ในปีนี้ แม้จะเหลือเวลาอีก 3 เดือนก่อนจะสิ้นปี แต่ก็ได้ทำสถิติสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้อย่างมาก เพราะอุตสาหกรรมนี้ (เครื่องแต่งกายและรองเท้า) 

โดยทั่วไปแล้ว ไม่ได้มีมูลค่าประเมินสูงเท่าอุตสาหกรรมเทคโนโลยี หรือบริการทางการเงินเลย ส่วนสถิติเดิมของการควบรวมกิจการในอุตสาหกรรมเครื่องแต่งกายและรองเท้า อยู่ที่มูลค่า 16,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2024 และก่อนหน้านั้นปี 2021 มีมูลค่าอยู่ที่ 15,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ด้าน Carmen Molinos หัวหน้าร่วม ฝ่ายธนาคารเพื่อการลงทุนในกลุ่มผู้บริโภคและค้าปลีกระดับโลก จาก Morgan Stanley ให้มุมมอง บอกว่าในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยภาษีนี้ การทำให้ขนาดของธุรกิจใหญ่ขึ้น จะมีความสำคัญมาก เพราะเมื่อเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ และมีฐานลูกค้ากว้างขึ้นแล้ว ก็จะสามารถเจรจาข้อเสนอต่าง ๆ กับคู่ค้าจำนวนมากได้ดีกว่า

สำหรับ Morgan Stanley เมื่อเดือนที่แล้ว เป็นที่ปรึกษาให้กับ Gildan Activewear  ผู้ผลิตเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายสัญชาติแคนาดา ในการทำข้อตกลงซื้อกิจการ บริษัท Hanesbrands ผู้ผลิตชุดชั้นในสัญชาติสหรัฐ มูลค่า 2,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 

ซึ่งทั้ง 2 รายมีฐานผลิตส่วนใหญ่ อยู่ในภูมิภาคอเมริกากลางและแคริบเบียน มากกว่าในเอเชีย และส่วนใหญ่ใช้ฝ้ายที่ปลูกในสหรัฐฯ ผลกระทบจากภาษีนำเข้าจึงมีเพียงบางส่วน แต่การควบรวมกันครั้งนี้ จะเป็นการเสริมสร้างธุรกิจให้มีความแข็งแกร่ง สามารถรับมือกับปัญหาทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ผันผวนได้ ขณะเดียวกัน บริษัท Gildan Activewear  ก็เป็นหนึ่งในบริษัทที่กำลังมองหาการเติบโตในท่ามกลางความวุ่นวายนี้

Glenn Chamandy ซีอีโอ และผู้ร่วมก่อตั้ง กิลแดน กล่าวระหว่างการประชุมกับนักลงทุนถึง ดีลดังกล่าว บอกว่าทั้ง 2 บริษัทมีความเห็นสอดคล้องกันที่จะใช้ประโยชน์จากกระแสการย้ายฐานการผลิตกลับมาใกล้กับตลาดหลัก ถือเป็นโอกาสทางธุรกิจที่สำคัญของอุตสาหกรรม

ส่วนนายธนาคารหลายคน ให้มุมมองตรงกัน บอกว่าภาษีศุลกากรได้สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อกลุ่มธุรกิจเครื่องแต่งกายและรองเท้าเป็นอย่างมาก ซึ่งสามารถถูกรบกวนหรือสะดุดได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้น การมีขนาดธุรกิจที่ใหญ่มากพอเพื่อรับมือกับความไม่แน่นอน จึงมีความจำเป็น 

สำหรับดีลใหญ่ ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เช่น Skechers แบรนด์รองเท้าชื่อดังสัญชาติสหรัฐฯ ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1992 ประกาศข้อตกลงขายกิจการให้กับ 3G Capital บริษัทเพื่อการลงทุนชื่อดัง ด้วยมูลค่ารวม 9,420 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นับเป็นการซื้อกิจการที่ใหญ่สุดในประวัติศาสตร์ของอุตสาหกรรมรองเท้า 

การประกาศข้อตกลงดังกล่าว เกิดขึ้นไม่กี่วันหลังจากบริษัทฯ ได้ถอนคาดการณ์ผลประกอบการประจำปี และยังร่วมกับเพื่อน ๆ ในอุตสาหกรรมรองเท้าอีก 75 ราย ส่งจดหมายถึงประธานาธิบดี ทรัมป์ โดยระบุว่า ภาษีนำเข้า เป็นภัยคุกคามต่อการอยู่รอดของอุตสาหกรรมนี้

นอกจากนี้ Skechers จะถอนบริษัทฯ ออกจากตลาดหุ้น หลังจากเป็นบริษัทจดทะเบียนมานานถึง 26 ปี ซึ่ง รอยเตอร์ส ระบุว่า การออกจากการเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ในแบบเดียวกับ Skechers กำลังเป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ในการรับมือกับความไม่แน่นอน โดยบริษัทไม่ต้องเผชิญกับแรงกดดันจากการรายงานผลประกอบการรายไตรมาสต่อสาธารณะ รวมถึงกรณีที่ บริษัทต่าง ๆ รู้สึกว่าตลาดไม่ได้ประเมินมูลค่าบริษัท อย่างเหมาะสม 

ส่วนข้อตกลงใหญ่อีก 1 กรณี คือ Foot Locker แบรนด์ร้านค้าปลีกจำหน่ายรองเท้าและเครื่องแต่งกาย ทั้งยังเป็นหนึ่งในผู้ร่วมลงนาม ในการส่งจดหมายถึงประธานาธิบดี ทรัมป์ ด้วย โดยเมื่อเดือนพฤษภาคม Foot Locker ได้เร่งการขายธุรกิจมูลค่ากว่า 2,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ให้กับ Dick's Sporting Goods ซึ่งเป็นผู้ค้าปลีกสินค้ากีฬาครบวงจรในสหรัฐฯ

ซึ่งตามรายงานระบุว่า Foot Locker ได้มีการหารือเกี่ยวกับการขายกิจการ ตั้งแต่เดือนมกราคม ปี 2024 แล้ว แต่มาตรการภาษีศุลกากร ที่มีการประกาศครั้งใหญ่ไปเมื่อวันที่ 2 เมษายน ได้ช่วยให้ข้อตกลงนี้สำเร็จเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยบริษัทดังกล่าว ระบุว่า ภาษีศุลกากรกำลังทำให้ราคาหุ้นลดลง และบริษัทฯ กำลังมุ่งหน้าสู่การรายงานผลประกอบการที่ต่ำกว่าคาดการณ์ไว้ จึงกังวลว่าราคาหุ้นจะปรับตัวลดลงอีก ดังนั้นจึงมีการเร่งปิดการเจรจาโดยเร็ว

สำหรับ Foot Locker เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านรองเท้าผ้าใบ มีแบรนด์ในเครือ ได้แก่ Foot Locker, Kids Foot Locker, Champs Sports, WSS และ atmos มีร้านค้าปลีกรวมประมาณ 2,400 แห่งใน 20 ประเทศทั่วอเมริกาเหนือ ยุโรป เอเชีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ รวมถึงร้านที่ดำเนินการภายใต้สิทธิ์การใช้แบรนด์ในยุโรป ตะวันออกกลาง และเอเชีย

โดย DICK’S ระบุว่า จะดำเนินธุรกิจ Foot Locker ในฐานะหน่วยธุรกิจอิสระภายใต้พอร์ตโฟลิโอของบริษัท และจะยังคงรักษาแบรนด์ดังกล่าวไว้ 

Jonathan Dunlop หัวหน้าร่วมฝ่ายวาณิชธนกิจ เพื่อผู้บริโภคและค้าปลีกประจำอเมริกาเหนือ ของเจพี มอร์แกน กล่าวว่า ในช่วงเวลาที่สับสนวุ่นวายและไม่แน่นอนนี้ ผู้ที่มีจุดแข็ง กำลังมองหาวิธีเสริมสร้างความแข็งแกร่งของตนเองต่อไป และหากพวกเขาเห็นว่าเหมาะสมเชิงกลยุทธ์ที่ถูกต้อง ก็จะฉวยโอกาสในจังหวะนี้ เข้าซื้อกิจการอื่น ๆ

ซึ่งในปีนี้ เจพี มอร์แกน ได้เป็นที่ปรึกษาทางการเงินให้กับ 3G Capital ในการซื้อ Skechers รวมถึงทำข้อตกลงมูลค่า 1,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในกรณีของ Authentic Brand Group ซึ่งเป็นบริษัทบริหารจัดการแบรนด์ เข้าซื้อหุ้น และเป็นผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ใน Guess แบรนด์แฟชันชั้นนำในสหรัฐฯ 

นอกจากนี้ Authentic เอง ยังได้ซื้อหุ้น Dockers จาก Levi Strauss ขณะที่ Bluestar Alliance บริษัทบริหารจัดการแบรนด์อีกราย ก็เพิ่งประกาศข้อตกลงในการเข้าซื้อ Dickies จาก VF Corp 

David Shiffman หุ้นส่วนและหัวหน้าฝ่ายค้าปลีกผู้บริโภคของ Solomon Partners กล่าวว่า บริษัทบริหารจัดการแบรนด์เหล่านี้ เป็นหนึ่งในผู้เข้าซื้อกิจการ ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในตลาดระดับกลางและแบรนด์ค้าปลีก ซึ่งมีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

นอกจากนี้ ควรจับตาดูแนวโน้มการควบรวมกิจการเพิ่มเติมอีกในช่วงปลายปี เนื่องจากมีบริษัทที่มีความแข็งแกร่งเพียงพอ กำลังมองหาโอกาสในการเข้าซื้อกิจการเพิ่มเติม ขณะเดียวกัน บริษัทที่กำลังประสบปัญหาก็กำลังมองหาพันธมิตร 

เช่น บริษัทเพื่อการลงทุนอย่าง Bain Capital กำลังพยายามขายหุ้นที่ถืออยู่ใน Canada Goose  ขณะที่ Lands' End ก็ได้รับข้อเสนอจากบริษัทบริหารจัดการแบรนด์รายหลาย

ส่วน PUMA แบรนด์รองเท้าผ้าใบ อีกราย ก็กำลังมีกระแสข่าวลือเกี่ยวกับการซื้อขายกิจการ ด้วยเช่นกัน 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง