รีเซต

Ookbee ชี้โชเชียลมีเดีย เครื่องมือหลักการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดี

Ookbee ชี้โชเชียลมีเดีย เครื่องมือหลักการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดี
TNN ช่อง16
7 ตุลาคม 2563 ( 18:57 )
81
Ookbee ชี้โชเชียลมีเดีย เครื่องมือหลักการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดี

การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ที่กำลังขับเคี่ยวอยู่ขณะนี้มีการใช้โชเชียลมีเดียมาช่วยในการหาเสียงเลือกตั้งอย่างเข้มข้น ขณะเดียวกันยังเชื่อว่าสงครามเทคโนโลยีระหว่างมหาอำนาจ จีนจะชนะสหรัฐในระยะยาว

ณัฐวุฒิ พึงเจริญพงศ์ ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ บริษัท อุ๊คบี (Ookbee) กล่าวว่า ในการเลือกตั้งประธาธิบดีสหรัฐที่จะมีขึ้นในวันที่ 3  พฤศจิกายนที่ผ่านมา ผู้สมัครชิงประธานาธิบดีของสหรัฐ ทั้งประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์ และอดีตรองประธานาธิบดี โจ ไบเด้น ต่างมีการใช้โชเชียลมีเดีย ทั้งเฟสบุค และ ทวิตเตอร์ในการหาเสียงเลือกตั้งเพื่อนำมาช่วยในการวัดผล วิเคราะห์ข้อมูล รวมถึงโน้มน้าวใจผู้ออกเสียงเลือกตั้งด้วย

“เทคโนโลยีที่ใช้ในการเลือกตั้งส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับโชเชียลมีเดีย มีการใช้โชเชียลมีเดียมาช่วยในการวัดผล การวิเคราะห์ข้อมูล ในการเลือกตั้ง เราเห็นได้ชัดตั้งแต่การเลือกตั้งครั้งที่แล้ว หลังจากการเลือกตั้งเสร็จมีแคมเปญที่ออกมาเป็นข่าวใหญ่ ว่าทางรัฐเชียมาซื้อโชเชียลมีเดียของทางฝั่งอเมริกาเพื่อที่จะทำให้ผลการเลือกตั้งเปลี่ยนหรือป่าว อะไรต่างๆ คนมาวิเคราะห์ ต่างๆจนถึงขั้นที่เฟสบุค กลายเป็นส่วนสำคัญของผลการเลือกตั้งทั้งการชนะหรือแพ้ในแต่ละรัฐ เพราะฉะนั้นการเลือกตั้งในครั้งนี้ คนก็เข้าไปวิเคราะห์ ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในการเลือกตั้งครั้งนี้ผู้เล่นทั้ง 2 ฝั่ง ก็พยายามจะใช้โซเชียลมีเดียในการหาเสียงเลือกตั้ง” ณัฐวุฒิ กล่าวและว่า

ในด้านเทคโนโลยีเทรนจีนและสหรัฐนั้น สหรัฐและจีนต่างมีจุดแข็งของตนเอง โดยสหรัฐมีจุดแข็งในเรื่องการพัฒนา เซมิคอนดักเตอร์ และมีการทรานเฟอร์เทคโนโลยีไปยังจีนเพื่อให้จีนผลิตสินค้าให้ และจีนส่งกลับสินค้ามายังสหรัฐอเมริกา ดังนั้นสหรัฐอเมริกาจะเป็นทั้งผู้พัฒนาเทคโนโลยี ผู้ถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับจีน จากนั้นจีนส่งสินค้ากลับไปยังอเมริกา ทำให้เกิดการตั้งกำแพงภาษีขึ้น และนี่น่าจะเป็นเหตุผลหลักๆว่าทำไมคนจีนเริ่มเก่งขี้นเรื่อยๆ จีนเริ่มจะมีเทคโนโลยีของตัวเองและส่งสินค้าในแบรนด์ของตัวเองเข้าไปในอเมริกาหรือส่งไปในประเทศต่างๆ และ นี่น่าจะเป็นเหตุผลหลักๆว่าทำไมเทคโนโลยีของจีนมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

ณัฐวุฒิ กล่าวต่อว่า ทางด้านเทคโนโลยีในฝั่งประเทศจีน นอกจากจะได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากสหรัฐแล้ว จีนยังมีการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องทำให้สามารถผลิตสินค้า และมีเทคโนโลยีของตนเองเพื่อผลิตสินค้าจำหน่ายในประเทศและส่งออกไปต่างประเทศด้วย

 “จีนเป็นผู้ผลิตสินค้า อเมริกาไม่ว่าจะคิดค้นเทคโนโลยีมายากเย็นแค่ไหนก็มาผลิตที่จีน เช่น รถยนต์เทสร่า แอปเปิล เป็นต้น นี่น่าจะเป็นเหตุผลหลัก ที่เทคโนโลยีทำไมกลายเป็นว่าคนจีนจะเก่งขึ้นเรื่อยๆ เค้าก็จะมีเทคโนโลยีของตนเองและเค้าเริ่มจะส่งสินค้าในแบรนด์ของตัวเองเข้าไปที่อเมริกาหรือส่งไปประเทศต่างๆ ดังนั้นที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้วางรากฐานเอาไว้ ต่อให้ประธานาธิบดีคนใหม่มาคงจะพูดไม่ได้ว่า สหรัฐอเมริกาและจีนจะกลับไปเป็นแบบเดิม” ณัฐวุฒิ กล่าวและว่า 

สำหรับจุดเด่นทางด้านเทคโนโลยีของจีนนั้น จีนเป็นประเทศที่มีฐานการผลิตขนาดใหญ่ มีขนาดของประชากรจำนวนมากและรัฐบาลให้การสนับสนุนเต็มในช่วง 5-10 ปีที่ผ่านมา ที่ทำให้บริษัทเอกชนจีนมีการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ทำให้จีนมีเทคโนโลยีเป็นของตนเองและสามารถที่จะไปแข่งกับอเมริกา และนั่นหมายความว่า จีนสามารถสร้างความเข้มแข็งให้กับตัวเองและสามารถบอกได้ว่าจีนเป็นพาวเวอร์เฮ้าส์อันดับต้นๆของโลก และในไม่กี่ปีข้างหน้าจีดีพีของจีนก็จะแซงอเมริกา 

อย่างไรก็ตาม ณัฐวุฒิ ได้กล่าวถึงสงครามทางด้านเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐและจีนในระยะยาวว่า ในระยะสั้นทั้งสองประเทศจะแพ้ทั้งคู่ ส่วนในระยะยาวมองว่าจีนจะชนะ เนื่องจาก จีนจะมีการนำเสนอเทคโนโลยีไปยังต่างประเทศมากขึ้น แม้ว่าสหรัฐจะพยายามกีดกันโดยใช้กำแพงภาษีและในระยะยาวโลกจะแบนลงเรื่อยๆ ขณะเดียวกันอัตราการแลกเปลี่ยนเงินตรา จะไม่ได้อิงที่เหรียญดอลล่าสหรัฐเพียงอย่างเดียว แต่จะเริ่มที่เงินสกุลใหม่ เช่น บิตคอยน์หรือการติดต่อต่างประเทศได้อย่างง่ายดายด้วยเทคโนโลยีซูม เป็นต้น ทำให้กำแพงด้านต่างๆจะค่อยๆหายไป เชื่อว่าในระยะยาวทุกคนก็อยากจะทำลายกำแพง


เกาะติดข่าวที่นี่ 

website: www.TNNThailand.com 

facebook : TNNThailand 

facebook live : TNN Live 

twitter : @TNNThailand 

Line : @TNNONLINE 

Youtube Official : TNNThailand 

Instagram : @tnn_online 

TIKTOK : @tnnonline

ข่าวที่เกี่ยวข้อง