จะเกิดอะไรขึ้น! เมื่อ 'ชื่อ-ที่อยู่-เบอร์โทร' ข้อมูลส่วนตัวตกอยู่ในมือมิจฉาชีพ
จะเกิดอะไรขึ้น! เมื่อ "ชื่อ-ที่อยู่-เบอร์โทร" ข้อมูลส่วนตัวของเราตกไปอยู่ในมือของเหล่ามิจฉาชีพ ทั้งที่เมื่อสำรวจเบื้องต้นบางคนไม่ได้ให้ข้อมูลส่วนตัวไปกับคนแปลกหน้าที่ไม่มีที่มาที่ไป ส่วนใหญ่ก็ทำธุรกรรมทางการเงิน หรือหน่วยงานภาครัฐที่มั่นใจว่า "ข้อมูลส่วนตัว" ที่สำคัญจะไม่รั่วไหลอย่างเด็ดขาด แต่เมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมาเกิดข่าวการโจรกรรมทางออนไลน์ ซึ่งระบบที่มีรายชื่อผู้ป่วยกว่า 16 ล้านคนของกระทรวงสาธารณสุขไทย ถูกแฮกเกอร์แฮกข้อมูลไป
คำถามที่หลายคนเกิดความสงสัยและเกิดความวิตกกังวล นั่นคือ จะเกิดอะไรขึ้น! เมื่อ "ชือ-ที่อยู่-เบอร์โทร" ส่วนตัวตกไปอยู่ในมือมิจฉาชีพ ซึ่งต้องยอมรับว่า ปัจจุบันการโจรกรรมข้อมูลส่วนตัวมีรูปแบบการหลอกลวงมากมายที่มีเทคนิคทันยุค ทันสมัยแถมแนบเนียนจนถึงขนาดหากใครไม่เท่าทันและอัปเดตวิธีการของเหล่ามิจฉาชีพทั้ให้รู้ทัน ย่อมมีโอกาสที่จะตกเป็น "เหยื่อ" ได้ง่าย
สำหรับการหลอกลวงเพื่อโจรกรรมข้อมูลส่วนตัว หรือที่เรียกกันว่า ฟิชชิ่ง (Phishing) มีเทคนิคและรูปแบบในการหลอกลวงทั้งเว็บไซต์ปลอมหลอกให้ลงทะเบียน หรือส่ง SMS ปลอมยืนยันข้อมูลส่วนตัว เป็นต้น ซึ่งหากไม่สังเกตให้ดีแล้วล่ะก็ ข้อมูลส่วนตัวของเราอาจอยู่ในมือมิจฉาชีพทั้งหมดแล้วก็เป็นได้ และความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นกับเราก็ตามมาในที่สุด วันนี้ TrueID รวบรวมข้อมูลมาให้ทุกคนได้รับมือและป้องกันก่อนตกเป็น "เหยื่อ" ของเหล่ามิจฉาชีพที่นับวันยิ่งมีมากขึ้นและมาหลายรูปแบบของเทคนิคต่าง ๆ
จากข้อมูลเว็บไซต์ธนาคารไทยพาณิชย์ได้สรุปคำแนะนำเมื่อข้อมูลส่วนตัวของเราตกอยู่ในมือมิจฉาชีพ ความเสียงและผลเสียที่อาจเกิดขึ้นกับเรานั้น มี 3 ข้อด้วยกัน ได้แก่
1. เงินหายไปจากบัญชี
เชื่อว่าต้องเคยผ่านหูผ่านตาของข่าวที่มีผู้ร้องเรียน หรือแจ้งความว่าเงินหายไปจากบัญชี และนี่คือวิธีหลอกลวงของเหล่ามิจฉาชีพอันดับต้น ๆ ที่พบได้บ่อย มีผู้เสียหายตกเป็นเหยื่อจำนวนมาก เนื่องจากเมื่อเราถูกโจรกรรมข้อมูล ทั้งชื่อผู้ใช้ (Username) รหัสผ่าน (Password) หรือ รหัส OTP มิจฉาชีพจะนำข้อมูลส่วนตัวไปทำธุรกรรมทางออนไลน์ โดยสามารถโอนเงินออกจากบัญชีของเราไปยังบัญชีของมิจฉาชีพได้อย่างรวดเร็ว มารู้ตัวอีกทีเงินก้เกลี้ยงบัญชีแล้ว
2. ถูกนำข้อมูลบัตรไปลงทะเบียนซื้อของออนไลน์
หมายเลขบัตร วันที่บัตรหมดอายุ (Exp.) และเลข CVV หลังบัตร เป็นข้อมูลสำคัญมาก ๆ ที่ผู้ถือบัตรต้องระมัดระวังในการให้ข้อมูล เพราะหากมิจฉาชีพรู้ข้อมูลที่กล่าวข้างต้น สามารำนบัตรของเราไปลงทะเบียนซื้อของออนไลน์ ทไให้เหยื่อที่เป็นเจ้าของบัตรเครดิต หรือบัตรเดบิต เป็นหนี้ที่ไม่ได้ก่อโดยไม่รู้ตัว มารู้ตัวอีกทีตอนที่ใบแจ้งนี้ส่งมาถึงบ้าน
3. สร้างบัญชีปลอม ไปทำธุรกรรมอื่น ๆ
อีกหนึ่งความเสียหายที่บางคนอาจเคยเจอมาแล้ว เมื่อเราถูกฟิชชิ่งข้อมูลส่วนบุคคลไป มิจฉาชีพอาจนำข้อมูลเราไปสร้างบัญชีปลอมในการทำธุรกรรมกับสถาบันการเงินต่าง ๆ หรือสมัครสินเชื่อ สมัครบัตรเครดิตต่าง ๆ แม้กระทั่งสร้างเว็บไซต์ หรือสร้างเฟซบุ๊กส่วนตัวในการหลอกลวงคนอื่นให้โอนเงิน โดยที่เหยื่อไม่รู้ตัวได้
และนี่คือ 3 ความเสียหายเมื่อข้อมูลส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็น ชื่อ-นามสกุล ข้อมูลที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ ข้อมูลบัตรเครดิต บัตรเดบิตต่าง ๆ ล้วนเป็นข้อมลสำคัญที่ต้องระมัดระวังอย่างมากที่ต้องตั้งสติก่อนกด Link ที่ได้รับผ่านข้อความ SMS หรือก่อนลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ที่ตั้งข้อสังเกต หรือเช็คให้แน่ใจก่อนว่า ใช่เว็บไซต์จริง หรือจากหน่วยงานที่มีตัวตนจริงหรือไม่
เมื่อรู้ตัวว่าให้ข้อมูลกับมิจฉาชีพไปแล้ว รีบทำ 3 ขั้นตอนนี้
แต่เมื่อรู้ตัวว่าให้ข้อมูลกับมิจฉาชีพไปแล้ว สิ่งที่ต้องรีบทำ คือ
1. เปลี่ยนรหัสผ่านใหม่ ทั้งหมด
หากมีการใช้ชื่อผู้ใช้ (User) หรือ รหัสผ่าน (Password) เดียวกันในระบบอื่น ๆ ก็ควรเปลี่ยน รหัสผ่าน (Password) ให้ครบทุกระบบ เพื่อป้องกันความเสี่ยง โดยมีเทคนิคการตั้งรหัสผ่านใหม่ง่าย ๆ 2 ข้อดังนี้
- หลีกเลี่ยงการใช้ ชื่อภาษาอังกฤษ, เลขบัตรประชาชน, วัน/เดือน/ปี เกิด, เลขเรียง และ เลขซ้ำกันเกิน 3 ตัว (เลขตอง) เป็นส่วนประกอบในการตั้งรหัส
- ตั้งรหัสผ่านใหม่ให้แตกต่างกันในแต่ละระบบ
2. ระงับการใช้บัตรเดบิต / บัตรเครดิต (กรณีให้ข้อมูลบัตรไป)
เมื่อรู้ว่าให้ข้อมูลบัตรเครดิต หรือบัตรเดบิต กับเหล่ามิจฉาชีพไป ควรรีบติดต่อสถาบันการเงิน หรือโทรสายด่วนของธนาคารที่ได้ทำบัตรไว้ ให้ดำเนินการอายัดบัตรดังกล่าวชั่วคราวไว้ก่อน
3. ติดต่อหน่วยงาน ขอความช่วยเหลือ ขอคำปรึกษา หากถูกโจรกรรมข้อมูลส่วนตัว
และควรติดต่อเจ้าหน้าเพื่อขอคำแนะนำ ขอความช่วยเหลือ รวมถึงศึกษาขั้นตอนการตรวจสอบความเสียหายให้เมื่อปัญหาอาชญากรรมทางการเงิน หรือขอหลักฐานต่าง ๆ เพื่อดำเนินงานในขั้นตอนต่อไป
4. รวบรวมหลักฐานแจ้งความที่สถานีตำรวจ
รวบรวมหลักฐานแจ้งความที่สถานีตำรวจ ตามคำแนะนำของ Call Center โดยเร็วที่สุด เพื่อระงับความเสียหายที่เกิดขึ้น โดยเว็บไซต์ธนาคารไทยพาณิชย์ได้อธิบายถึงมีเทคนิคการแจ้งความดังต่อไปนี้
- แจ้งความที่สถานีตำรวจในบริเวณใกล้เคียง โดยแจ้งเจ้าหน้าที่ว่า “ขอแจ้งความเพื่อขอออกหมายเรียกพยานเอกสาร”
- ให้หมายเรียกพยานเอกสาร ครอบคลุมความเสียหายให้ได้มากที่สุด โดยต้องมีคำว่า “ให้ดำเนินการระงับบัญชี...... รวมทั้งบัญชีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการรับโอนยอดเงินดังกล่าว” อยู่ในหมายเรียกพยานเอกสารด้วย
อย่าลืมศึกษาและนำวิธีเหล่านี้ไปปฏิบัติ เพื่อป้องกันเหล่ามิจฉาชีพที่ทุกวันนี้ปรับเปลี่ยนวิธีการในการหลอกลวง หรือโจรกรรมข้อมูลส่วนตัว ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญที่ไม่ควรรั่วไหล แต่เมื่อรั่วไหลแล้วรีบจัดการตามคำแนะนำกันด้วยนะ จากผลเสียที่มากอาจลดน้อยลง หรือเกิดผลเสียน้อยที่สุดกับตัวเรา
ข้อมูล : ธนาคารไทยพาณิชย์
ข่าวเกี่ยวข้อง :
- วิธี แก้ปัญหา SMS แอปฯเงินกู้เถื่อน ทำอย่างไร?
- รู้จัก "แฮกเกอร์" เขาคือ อาชญากรรม หรือผู้มีความเฉลียว ในโลกออนไลน์กันแน่!