เมื่อผู้นำมองไกล ประเทศก็ไปไกล บทเรียนจาก “นอร์เวย์” ถึง “ไทย”

ดร.สนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อมไทย โพสต์เกี่ยวกับ ความยั่งยืนกับวิสัยทัศน์ของผู้นำ บทเรียนจากนอร์เวย์และประเทศไทย
ทรัพยากรธรรมชาติถือเป็นสมบัติของชาติที่สามารถกำหนดทิศทางการพัฒนาและคุณภาพชีวิตของประชาชนได้อย่างลึกซึ้ง อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้ประเทศหนึ่งก้าวสู่ความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน ขณะที่อีกประเทศกลับเผชิญความเหลื่อมล้ำและความเปราะบางทางเศรษฐกิจ ไม่ได้อยู่ที่ปริมาณทรัพยากรเพียงอย่างเดียว หากแต่อยู่ที่วิสัยทัศน์และการตัดสินใจของผู้นำประเทศเป็นสำคัญ กรณีศึกษาของประเทศนอร์เวย์และประเทศไทยสะท้อนบทเรียนนี้ได้อย่างชัดเจน
ก่อนปี พ.ศ. 2512 ประเทศนอร์เวย์ยังจัดเป็นประเทศที่มีฐานะยากจน รายได้หลักของประเทศมาจากการส่งออกผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติและภาคเกษตรกรรมเป็นส่วนใหญ่ จนกระทั่งมีการค้นพบน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในทะเลเหนือ แม้ทรัพยากรดังกล่าวจะมีปริมาณไม่มากเท่ากับประเทศในตะวันออกกลาง แต่ผู้นำของนอร์เวย์ในขณะนั้นกลับเลือกแนวทางการพัฒนาที่ตั้งอยู่บนหลักความยั่งยืน รัฐบาลเปิดโอกาสให้บริษัทต่างชาติเข้ามารับจ้างขุดเจาะและผลิต ขณะที่รัฐยังคงเป็นเจ้าของทรัพยากรและทำหน้าที่เป็นผู้ค้าหลักในการส่งออกน้ำมันและก๊าซธรรมชาติด้วยตนเอง
รายได้และกำไรจากการจำหน่ายทรัพยากรเหล่านี้ถูกนำมาจัดสรรอย่างเป็นระบบ ส่วนหนึ่งถูกนำไปใช้เป็นสวัสดิการให้กับประชาชนทุกคนโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นการรักษาพยาบาลฟรี การศึกษา ฟรี ระบบบำเหน็จบำนาญในวัยชรา รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ขณะเดียวกัน รัฐบาลนอร์เวย์ยังได้จัดตั้งกองทุนน้ำมันเพื่อนำรายได้จากทรัพยากรไปลงทุนต่อยอดในกิจการด้านพลังงานและธุรกิจหลากหลายรูปแบบทั้งในและต่างประเทศ ผลตอบแทนจากการลงทุนเหล่านี้ถูกนำกลับมาหล่อเลี้ยงระบบสวัสดิการสังคมอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ในปัจจุบันประชากรนอร์เวย์มีรายได้เฉลี่ยต่อหัวสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก อยู่ในระดับประมาณ 90,000–100,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี
ในทางตรงกันข้าม ประเทศไทยค้นพบน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2516 แต่เลือกใช้ระบบสัมปทาน โดยให้บริษัทเอกชนต่างชาติเข้ามาดำเนินการขุดเจาะและผลิต รายได้ที่รัฐได้รับส่วนใหญ่เป็นค่าภาคหลวงและส่วนแบ่งในสัดส่วนที่จำกัด เงินดังกล่าวถูกนำไปใช้เป็นงบประมาณรายจ่ายประจำปี และบางส่วนถูกจัดตั้งเป็นกองทุนน้ำมันเพื่อใช้ในการอุดหนุนราคาพลังงานเมื่อราคาน้ำมันโลกปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาโดยภาพรวม กำไรจากการขุดเจาะและจำหน่ายน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจะตกอยู่กับภาคเอกชนประมาณร้อยละ 65 ขณะที่รัฐได้รับเพียงร้อยละ 35 เท่านั้น และที่สำคัญ รายได้จากทรัพยากรธรรมชาติซึ่งเป็นสมบัติของคนไทยทั้งประเทศไม่ได้ถูกนำมาจัดสรรเป็นสวัสดิการให้ประชาชนโดยตรงอย่างเป็นระบบ
ปัจจุบัน แหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของประเทศไทยกำลังเข้าสู่ช่วงร่อยหรอ เช่นเดียวกับที่นอร์เวย์เคยเผชิญมาก่อน แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ชาวนอร์เวย์ยังคงได้รับประโยชน์จากการลงทุนที่รัฐได้วางรากฐานไว้ในอดีต รายได้จากการลงทุนทั่วโลกยังคงถูกนำกลับมาเป็นสวัสดิการเพื่อสังคมอย่างยั่งยืน ในขณะที่ประชาชนไทยจำนวนมากกลับมีแนวโน้มเผชิญความยากจนและความเปราะบางทางเศรษฐกิจมากขึ้น เนื่องจากได้รับประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติของประเทศในสัดส่วนที่จำกัด
บทเรียนจากสองประเทศนี้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ทรัพยากรธรรมชาติอาจหมดไปตามกาลเวลา แต่การตัดสินใจเชิงนโยบายและวิสัยทัศน์ของผู้นำประเทศคือปัจจัยสำคัญที่กำหนดอนาคต ความมั่นคง และคุณภาพชีวิตของประชาชนทั้งประเทศอย่างแท้จริง
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
