รีเซต

ไล่ไทม์ไลน์โควิดสายพันธุ์อินเดีย B.1.617.2 เกิดขึ้นในไทย วัคซีนที่มีป้องกันได้

ไล่ไทม์ไลน์โควิดสายพันธุ์อินเดีย B.1.617.2 เกิดขึ้นในไทย วัคซีนที่มีป้องกันได้
Ingonn
23 พฤษภาคม 2564 ( 11:05 )
928

ในที่สุดโควิดสายพันธุ์อินเดีย B.1.617.2 ได้มีการระบาดในไทยจากแคมป์คนงานก่อสร้าง พื้นที่หลักสี่ ซึ่งเป็นสายพันธุ์ใหม่แพร่เชื้อไวกว่าสายพันธุ์อังกฤษจากคลัสเตอร์สถานบันเทิงเสียอีก พร้อมทั้งยังหลีกเลี่ยงภูมิคุ้มกันจากวัคซีนได้

 

 

สถานการณ์โควิดสายพันธุ์อินเดียในไทย

 

วันที่ 10 พฤษภาคม แพทย์หญิงอภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษก ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 ( ศบค.) เปิดเผยว่า วันนี้ในที่ประชุมศบค.ชุดเล็กได้มีการรายงานผู้เดินทางมาจากปากีสถาน มีการตรวจพบสายพันธุ์ อินเดีย เป็นรายแรกของประเทศไทย จากการรายงานของกรมควบคุมโรค กรณีของหญิงไทย เป็นชาวไทย อายุ 42 ปี ตั้งครรภ์ 25 สัปดาห์ด้วย

 

 

วันที่ 21 พ.ค.64 เวลา14.00 น. นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าวการพบเชื้อโควิดกลายพันธุ์ "สายพันธุ์อินเดีย" ในแคมป์ก่อสร้างหลักสี่ 15 ราย โดยเป็นเพศชาย 7 คน เพศหญิง 8 คน อายุเฉลี่ย 46 ปี ทั้ง 15 คนขณะนี้ส่วนใหญ่อาการเล็กน้อย ไม่รุนแรกง ปกติดี ยังรักษาอยู่ในรพ. โดยในจำนวน 15 ตัวอย่างนี้ พบว่าเป็นคนงานที่อยู่ในแคมป์ก่อสร้าง 12 คน ส่วนอีก 3 คน เป็นผู้สัมผัสโรคร่วมบ้านกับคนในแคมป์คนงาน โดยจะมีการสอบสวนควบคุมโรคและติดตามผู้สัมผัสต่อไป

 

 

วันที่ 21 พ.ค.64 เวลา 18.49 น.นพ.ศุภกิจ  ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยว่า จากการเฝ้าระวังการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัส Covid-19 กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ตรวจรหัสพันธุกรรมจากตัวอย่างที่ส่งมาจากแคมป์คนงานก่อสร้าง และบริเวณใกล้เคียง จำนวน 80 ตัวอย่าง พบว่าเป็นสายพันธุ์อินเดีย (B.1.617.2) จำนวน 36 ราย เป็นคนไทย 21 ราย คนงานชาวพม่า 10 ราย และกัมพูชา 5 ราย ที่เหลือเป็นสายพันธุ์อังกฤษ (B.1.1.7) และยังมีตัวอย่างจากการค้นหาเชิงรุก จากพื้นที่อื่นใน กทม.อีก 2 แห่ง แต่พบเป็นสายพันธุ์อังกฤษทั้งหมด ซึ่งขณะนี้ในประเทศไทย เชื้อที่พบจะเป็นสายพันธุ์อังกฤษ 87% เพิ่งตรวจพบสายพันธุ์อินเดีย และจะได้ขยายการนำตัวอย่างจากคลัสเตอร์อื่นๆ มาตรวจรหัสพันธุกรรม เพื่อดูการกระจายตัวต่อไป

 

 


ความอันตรายของโควิดสายพันธุ์อินเดียในไทย


โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เปิดเผยเกี่ยวกับความกังวลต่อโรคโควิด-19 สายพันธุ์อินเดียว่า เชื้อไวรัสสายพันธุ์อินเดีย มักแพร่กระจายลงสู่หลอดลมส่วนลึก และถุงลม ซึ่งแตกต่างจากสายพันธุ์เดิมที่แพร่กระจายในโพรงจมูก และลำคอ 

 

 

เชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์อินเดีย สามารถติดเชื้อได้เร็วขึ้น และแพร่กระจายได้ง่ายขึ้น หลีกหนีภูมิคุ้มกันจากวัคซีนได้ ภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นจากการติดเชื้อตามธรรมชาติ ไม่สามารถยับยั้งเชื้อไวรัสสายพันธุ์อินเดียได้ และต้องติดตามกลับว่า ทำให้เกิดการอักเสบที่อันตรายต่อเนื้อเยื่อ และทุกระบบของร่างกายมากขึ้น

 

 


วัคซีนที่ไทยมีป้องกันโควิดสายพันธุ์อินเดียได้


ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ (หมอยง) หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า เมื่อมีการพบสายพันธุ์อินเดียในประเทศไทยจึงจำเป็นที่จะต้องควบคุมให้ได้โดยเร็วก่อนที่จะสร้างปัญหาใหญ่โต สายพันธุ์อินเดีย B.1.617.2 จะแพร่กระจายได้ง่าย จะง่ายเท่าสายพันธุ์อังกฤษหรือมากกว่าสายพันธุ์อังกฤษ ยังไม่มีการศึกษาที่ชัดเจน แต่สายพันธุ์นี้ตามหลักฐานทางวิทยาศาสตร์วัคซีนที่เราใช้อยู่นี้น่าจะป้องกันได้

 

 

สายพันธุ์นี้ดูตามหลักพันธุกรรมแล้ว สามารถแพร่กระจาย หรือติดต่อได้ง่าย จะติดต่อง่าย หรือง่ายกว่าสายพันธุ์อังกฤษ จึงจะทำให้เกิดการระบาดกว้างขวางขึ้นได้ (แค่สายพันธุ์อังกฤษ เราก็ลำบากพอสมควรแล้ว) แต่สายพันธุ์อินเดียนี้ วัคซีนที่มีอยู่ในประเทศไทย สามารถป้องกันได้
 

 
จากการศึกษาในประเทศอังกฤษ สายพันธุ์อินเดียที่เข้าไประบาดในอังกฤษ ส่วนใหญ่จะเกิดในชุมชนที่มีการฉีดวัคซีนอัตราการครอบคลุมต่ำ และจะพบมากในเด็กวัยรุ่นหรืออายุน้อยที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน มากกว่าผู้ใหญ่หรือผู้สูงอายุที่ได้รับวัคซีนแล้ว

 

 

 

 

 

วันนี้ True ID จะพามารู้จักโควิดกลายพันธุ์ในอินเดีย ว่ามีความรุนแรงแค่ไหน ติดเชื้อง่ายแค่ไหน เพื่อระวังตัวไว้ ก่อนจะระบาดในไทยโดยไม่รู้ตัว

 

 

 

โควิดกลายพันธุ์ในอินเดีย

 

เชื้อโควิดกลายพันธุ์ คือ เชื้อที่บรรดานักวิทยาศาสตร์ทั้งในอินเดีย ตลอดจนประเทศชั้นนำ รวมทั้งองค์การอนามัยโลก (WHO) สันนิษฐานว่าอาจเป็นตัวการที่ทำให้เกิดการระบาดของโรคโควิดในอินเดียอย่างรุนแรง

 

องค์การอนามัยโลก เคยวิเคราะห์ว่า เชื้อโควิดกลายพันธุ์คู่ หรือโควิดกลายพันธุ์ 2 ตำแหน่ง ที่พบในอินเดียตั้งแต่ปลายปี 2563 คือตัวการสำคัญของเชื้อโควิดสายพันธุ์หลักที่ทำให้เกิดการระบาดอย่างรวดเร็วในขณะนี้  ล่าสุดผู้เชี่ยวชาญได้ค้นพบโควิด-19 กลายพันธุ์ 3 ตำแหน่ง ซึ่งเรียกว่า “โควิดสายพันธุ์เบงกอล” 

 


“โควิดสายพันธุ์เบงกอล” คืออะไร


โควิดกลายพันธุ์ 3 ตำแหน่ง ‘triple mutant variant’ หรือมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า B.1.618 เป็นเชื้อโควิด-19 กลายพันธุ์ชนิดใหม่ที่ถูกพบครั้งแรกในรัฐเบงกอลตะวันตก ซึ่งอยู่ทางภาคตะวันออกของประเทศอินเดีย จึงทำให้มีการเรียกเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่นี้ว่า โควิดสายพันธุ์เบงกอล และยังพบในการสุ่มตรวจเคสที่เมืองหลวงกรุงเดลี และรัฐมหาราษฏระ

 

ลักษณะเฉพาะเหล่านี้จะทำให้ไวรัสกลายพันธุ์ดังกล่าวแพร่ระบาดได้ง่ายยิ่งขึ้น รวมทั้งยังอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพการป้องกันโรคของวัคซีนด้วย

 

 

 


B.1.618 กลายพันธุ์แบบ Triple Mutant

เชื้อกลายพันธุ์แบบ Triple Mutant เกิดจากการเปลี่ยนแปลงโปรตีนตรงส่วนหนาม (spike protein) บนผิวของไวรัส โดยตำแหน่ง H146 และ Y145 หายไป และเกิดการกลายพันธุ์ในตำแหน่ง E484K และ D614G


ก่อนหน้านี้ เชื้อโควิดกลายพันธุ์คู่ (double mutant variant) ถูกตั้งชื่ออย่างเป็นทางการว่า B.1.617 ซึ่งพบการกลายพันธุ์สองตำแหน่งที่ E484Q และ L452R โดยนักวิทย์พบครั้งแรกในรัฐมหาราษฎระ


ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าการระบาดอย่างรุนแรงของโรคโควิด-19 ในระลอกสองที่อินเดียมาจากเชื้อโควิดกลายพันธุ์คู่ กระทั่งต่อมามีการพบเชื้อ โควิดกลายพันธุ์ 3 ตำแหน่ง ในรัฐเบงกอลตะวันตก จึงทำให้นักวิทย์เชื่อว่ามันคือวิวัฒนาการจากเชื้อโควิดกลายพันธุ์สองตำแหน่ง ที่มารวมเป็นหนึ่งเดียว

 

 

ความรุนแรงของโควิดสายพันธุ์ใหม่


ผู้เชี่ยวชาญเผยว่ายังไม่มีหลักฐานสรุปได้แน่ชัดเกี่ยวกับเชื้อกลายพันธุ์ใหม่นี้ เนื่องจากเป็น “เชื้อที่ต้องสืบสวน” (Voi) หรือเป็นเชื้อที่ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ชัดเจนแต่ต้องเริ่มเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด และยังไม่บ่งชี้ว่าจำเป็นต้องยกระดับการดำเนินการด้านสาธารณสุข แต่ความน่ากังวล คือ มีการกลายพันธุ์ที่สำคัญในตำแหน่ง E484K ที่เป็นจุดสำคัญในการหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกัน ซึ่งพบในสายพันธุ์บราซิลและแอฟริกาใต้ด้วย

 


ติดเชื้อง่าย แพร่กระจายรวดเร็ว


แค่เชื้อโควิดกลายพันธุ์คู่หรือกลายพันธุ์สองตำแหน่งนั้น ผู้เชี่ยวชาญที่ติดตาม ชี้ว่ามีความร้ายกาจมากกว่าเชื้อโควิดก่อนหน้าแล้ว เพราะมันมีประสิทธิภาพในการแพร่ระบาดได้รวดเร็วมากขึ้น ซึ่งการกลายพันธุ์ดังกล่าวอาจช่วยให้ไวรัสหลบเลี่ยงแอนติบอดีในระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย ซึ่งแอนติบอดีเป็นสิ่งเดียวที่จะต่อสู้กับไวรัสได้ หลังจากคนผู้นั้นได้รับวัคซีนหรือเคยผ่านการติดเชื้อมาแล้ว

 

ทำให้ขณะนี้นักวิทยาศาสตร์กำลังเฝ้าติดตามเชื้อโควิดกลายพันธุ์ 3 ตำแหน่งอย่างใกล้ชิดด้วยความกังวลมากขึ้น โดยเฉพาะกังวลว่า วัคซีนต้านโควิด-19 ที่กำลังถูกพัฒนากันอยู่ในขณะนี้จะสามารถต้านทานมันอยู่หรือไม่

 

 

 

ต้นเหตุของการระบาดในอินเดีย ?


ผู้เชี่ยวชาญหลายคนเชื่อว่าการระบาดระลอกสองในอินเดียเกิดจากผู้คนไม่ปฏิบัติตามมาตรการป้องกัน เช่นการหลีกเลี่ยงที่ชุมชนและสวมหน้ากากอนามัย มากกว่าจะเป็นเพราะเชื้อสายพันธุ์ใหม่

 

ดร. เจฟฟรีย์ บาร์เร็ตต์ จากสถาบันเวลล์คัมแซงเกอร์ของสหราชอาณาจักรชี้ว่า “มีการพบเชื้อกลายพันธุ์ของอินเดียตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว หากมันเป็นตัวการที่ทำให้เกิดการระบาดรอบสองจริง ก็เท่ากับว่ามันใช้เวลาในการแพร่กระจายนานหลายเดือนมากกว่าจะมาถึงจุดนี้ ซึ่งหมายความว่าไวรัสสายพันธุ์อินเดียติดต่อกันได้ยากกว่าสายพันธุ์เคนต์ B.1.1.7 นั่นเอง”

 

“แม้จะมีความเป็นไปได้ว่า เชื้อกลายพันธุ์ของอินเดียมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับการระบาดระลอกสอง แต่เรายังไม่มีหลักฐานยืนยันในเรื่องนี้”

 

 

วัคซีนโควิด-19 ยังป้องกันได้ไหม


ด้าน องค์การอนามัยโลก หรือ WHO ยืนยัน วัคซีนที่องค์การอนามัยโลกอนุมัติใช้งานทั้ง 6 ตัวได้แก่ ไฟเซอร์-ไบโอเอ็นเทค โมเดอร์นา จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน แอสตราเซนเนกา โควิชิลด์ รวมทั้งวัคซีนซิโนฟาร์มของจีน มีประสิทธิภาพในการป้องกันโควิดที่กลายพันธุ์สายพันธุ์อินเดียและสายพันธุ์อื่นๆ ทั้งอังกฤษและแอฟริกาใต้ได้

 

 

ชาวอินเดียเดินทางเข้าไทย

เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2564 ศบค.รายงานผู้ที่เดินเข้าประเทศมาจากอินเดีย 7 ราย สร้างความวิตกแก่ประชาชนว่าจะทำให้เชื้อโควิดที่กลายพันธุ์ในอินเดียเข้ามาแพร่ระบาดในไทยหรือไม่


นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. ระบุว่า ไม่มีการเช่าเหมาลำเครื่องบินจากอินเดียมายังประเทศไทย มีเพียงการเตรียมการเพื่อรับคนไทยกลับบ้าน (Repatriation flight)) ตามภารกิจของกระทรวงการต่างประเทศเท่านั้น ซึ่งมีผู้ลงทะเบียนไว้ล่วงหน้าจะมีก็มีแต่ เดือน พ.ค. ที่จะถึงนี้ จะมีนำคนไทยขึ้นเครื่องบินกลับมาจากอินเดีย อีก 4 เที่ยวบิน เท่านั้น

 

ส่วนกรณีคนต่างชาติในอินเดียนั้นได้มีการชะลอการออกใบอนุญาตที่จะให้คนต่างชาติในอินเดียเข้ามาประเทศไทยแล้ว เนื่องจากตอนนี้เกิดโรคระบาดในอินเดียมีคนไทยอยู่ที่นั่นเป็นบทบาทภารกิจกระทรวงการต่างประเทศดูแลคนไทยเข้ามา

 

สำหรับชาวต่างชาติที่ประสงค์จะเดินทางมาจากประเทศอินเดีย และได้ยื่นขอหนังสือรับรองว่าเป็นบุคคลที่เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรได้ (COE – Certificate of Entry) จะให้ ”ชะลอ” การออกหนังสือฯ ออกไปก่อน เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดยังมีความรุนแรง 

 

 

 


ข้อมูลจาก ไทยรัฐ, xinhuathai, ข่าวสด, ศูนย์ข้อมูล COVID-19

ภาพจาก AFP

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง