รีเซต

หนีจีน! "โตโยต้า-ฮอนด้า" เพิ่มลงทุนอินเดีย 10,000 ล้านดอลลาร์

หนีจีน! "โตโยต้า-ฮอนด้า" เพิ่มลงทุนอินเดีย 10,000 ล้านดอลลาร์
TNN ช่อง16
7 พฤศจิกายน 2568 ( 16:39 )
12

ขณะนี้ บริษัทผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นหลายราย กำลังให้ความสำคัญกับประเทศอินเดียเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกัน ก็กำลังปรับเปลี่ยนห่วงโซ่อุปทาน เพื่อลดการพึ่งพาจีน โดย โตโยต้า ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของโลก และ ซูซูกิ ผู้นำตลาดรถยนต์ในอินเดีย ที่มีส่วนแบ่งตลาดอยู่เกือบร้อยละ 40 ต่างประกาศขยายการลงทุนในอินเดีย รวมมูลค่ามากกว่า 11,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างศักยภาพด้านการผลิตและการส่งออกในประเทศดังกล่าว ซึ่งเป็นตลาดรถยนต์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด เป็นอันดับ 3 ของโลก  ส่วนฮอนด้า ประกาศเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ว่ามีแผนจะให้อินเดียเป็นฐานการผลิต และส่งออกรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งวางแผนการผลิตไว้ 1 รุ่น

ทั้งนี้ รอยเตอร์ส รายงาน โดยอ้างมุมมองจากผู้บริหารในอุตสาหกรรมรถยนต์หลายราย บอกว่า บรรดาผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่น กำลังเร่งขยายการดำเนินงาน ขณะเดียวกันพวกเขาก็กำลังเปลี่ยนทิศทางออกจาก จีน ทั้งในฐานะตลาด และการเป็นฐานการผลิต โดยมุ่งให้ความสำคัญกับอินเดียมากขึ้นแทน

เห็นได้จากตัวเลขการลงทุนโดยตรงของญี่ปุ่น ในภาคขนส่งของอินเดีย ซึ่งรวมถึงผู้ผลิตรถยนต์ ระหว่างปี 2021-2024 พบว่าเพิ่มขึ้นมากกว่า 7 เท่าตัว และในปีที่แล้ว มีมูลค่าแตะ 294,000 ล้านเยน หรือประมาณ 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

สะท้อนว่าผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นกำลังเร่งลงทุนในอินเดีย แต่สวนทางกับการลงทุนในจีน ที่ชะลอตัว โดยการลงทุนโดยตรงของญี่ปุ่น ในภาคขนส่งของจีน ลดลงถึงร้อยละ 83 ในช่วงเวลาเดียวกัน และปีที่แล้ว การลงทุนลดลงเหลือ 46,000 ล้านเยน

โดย อินเดีย มีต้นทุนต่ำ และมีแรงงานจำนวนมาก กลายเป็นจุดเด่นที่ดึงดูดผู้ผลิตมาอย่างยาวนาน และอีกข้อได้เปรียบหนึ่ง คืออินเดียปิดกั้นรถยนต์ไฟฟ้าจากจีน แทบจะทั้งหมด นั่นหมายความว่าผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่น จะไม่ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่ดุเดือดจาก บีวายดี และค่ายรถจีนรายอื่น ๆ 

อย่างน้อยก็ในตอนนี้ ที่เกิดสงครามราคารุนแรงระหว่างผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจีน ทำให้การทำกำไรในจีนเป็นเรื่องยาก และยิ่งไปกว่านั้น ผู้ผลิตรถยนต์จีนกำลังขยายธุรกิจออกไปยังต่างประเทศ และแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดจากคู่แข่งที่เป็นผู้ผลิตญี่ปุ่น โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

Julie Boote นักวิเคราะห์ยานยนต์จาก Pelham Smithers Associates ในกรุงลอนดอน ให้มุมมองว่า ผู้ผลิตญี่ปุ่นกำลังมองว่าอินเดียเป็นตลาดที่ดีกว่ามาก เพราะไม่ต้องเจอกับคู่แข่งจากจีน

เช่นเดียวกับมุมมองของ Gaurav Vangaal จาก S&P Global Mobility  ที่บอกว่า ท่าทีกีดกันทางการค้าของอินเดียต่อประเทศเพื่อนบ้าน (ซึ่งหมายถึงจีน) ถือเป็นเรื่องดีที่แฝงมากับความโชคร้ายของผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่น และด้วยเหตุนี้เอง ทำให้บริษัทญี่ปุ่น เห็นโอกาสในการขยายการลงทุนในอินเดีย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุน เมื่อเทียบกับผู้ผลิตในประเทศ

ทั้งนี้ รัฐบาลอินเดียมีข้อจำกัดการลงทุนจากจีน ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์รายใหม่จากจีนเข้ามาได้ยาก และทำให้ผู้ผลิตจีนที่มีอยู่แล้ว ทั้ง MG Motor ของ SAIC และ BYD ขยายกิจการได้ยากขึ้น อีกปัจจัยดึงดูด ก็คือ คุณภาพสินค้าที่ผลิตในอินดีย ดีขึ้น และยังมีแรงจูงใจจากรัฐบาลของนายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี อีก

ด้านการเติบโตทางเศรษฐกิจ ในช่วง 3 ปีงบประมาณ ที่ผ่านมา เติบโตเฉลี่ยที่ร้อยละ 8 จากการผลักดันของรัฐบาลที่ต้องการดึงดูดผู้ผลิตจากต่างชาติมากขึ้น โดยรัฐบาลกำลังออกมาตรการจูงใจเพื่อให้ผู้ผลิตเหล่านั้น ผลิตสินค้าสำหรับตลาดทั้งในประเทศและส่งออกต่างประเทศ

ซึ่งในปีที่ผานมา อินเดียผลิตรถยนต์นั่งส่วนบุคคล อยู่ที่ประมาณ 5 ล้านคัน โดยเกือบ 800,000 คันเป็นการส่งออก ซึ่งเติบโตร้อยละ 15 ส่วนที่เหลือเป็นการจำหน่ายในประเทศ โดยมีการเติบโตอยู่ที่ร้อยละ 2 

รายงานข่าวระบุอีกว่า โตโยต้า กำลังร่วมมือกับผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ ญี่ปุ่น และอินเดีย เพื่อลดต้นทุน และขยายการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ไฮบริด โดยอินเดียเป็นหนึ่งในตลาดที่โตโยต้าเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนชิ้นส่วนรถไฮบริด ท่ามกลางความต้องการในปีนี้ ที่พุ่งสูงขึ้น

นอกจากนี้ โตโยต้า ยังได้ปรับผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับตลาดท้องถิ่นมากขึ้นด้วย ซึ่งผู้บริหารจากซัพพลายเออร์รายใหญ่ของโตโยต้า ระบุว่า ตอนนี้ไม่ได้มีการพูดถึงเรื่องสเปกระดับโลกอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องของสเปกในระดับท้องถิ่น

ซึ่งผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นรายนี้ มีแผนเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ และรุ่นปรับโฉม ในอินเดีย รวม 15 รุ่น ภายในสิ้นทศวรรษนี้ พร้อมทั้งขยายเครือข่ายสู่พื้นที่ชนบทมากขึ้น และตามรายงานของรอยเตอร์ส เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ระบุว่า โตโยต้า ตั้งเป้าครองส่วนแบ่งตลาดรถยนต์นั่งในอินเดียให้ได้ร้อยละ 10 ก่อนสิ้นทศวรรษ จากปัจจุบันมีส่วนแบ่งตลาดอยู่แล้วที่ร้อยละ 8 

Koji Sato ประธานโตโยต้า กล่าวกับผู้สื่อข่าวในงาน Japan Mobility Show  บอกว่าตลาดอินเดียสำหรับโตโยต้านั้น มีความสำคัญอย่างยิ่ง และมีแนวโน้มเติบโตในอนาคต พร้อมระบุว่า ขณะนี้ ผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นๆ ก็ให้ความสำคัญกับตลาดนี้เช่นเดียวกัน

โดยเมื่อปีที่แล้ว โตโยต้าประกาศลงทุนเป็นมูลค่ากว่า 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อขยายกำลังการผลิตที่โรงงานเดิมทางตอนใต้ของอินเดีย อีกประมาณ 100,000 คันต่อปี และสร้างโรงงานแห่งใหม่ในรัฐมหาราษฏระ ทางตะวันตก คาดว่าจะเริ่มการผลิตได้ก่อนปี 2030 และคาดว่าจะทำให้กำลังการผลิตของโตโยต้าในอินเดียเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 1 ล้านคัน 

เมื่อวันพุธที่ผ่านมา โตโยต้า ได้เปิดผลผลประกอบการรายไตรมาส ระบุว่า อินเดียมีบทบาทสำคัญเพิ่มมากขึ้นต่อกำไรของบริษัท โดยเฉพาะในช่วงที่ธุรกิจในอเมริกาเหนือได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษี

สะท้อนว่าอินเดียกำลังกลายเป็นตลาดยุทธศาสตร์ที่ช่วยชดเชยรายได้จากแรงกดดันทางการค้า และอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมค่ายรถยนต์ รวมถึงโตโยต้า เร่งขยายการผลิตและเปิดตัวรถรุ่นใหม่ในอินเดียต่อเนื่อง 

สำหรับ ฮอนด้า อินเดีย เป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในธุรกิจรถจักรยานยนต์ ซึ่งทำกำไรสูง และตอนนี้ ฮอนด้า มีแผนที่จะยกระดับธุรกิจไปสู่ตลาดรถยนต์ 

ซึ่ง Toshihiro Mibe ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฮอนด้า ระบุถึงตลาดเป้าหมายหลัก 3 อันดับแรกสำหรับธุรกิจรถยนต์ของบริษัท คือ สหรัฐอเมริกา รองมาคือ อินเดีย และญี่ปุ่น

โดย ฮอนด้าวางแผนที่จะให้อินเดียเป็นฐานการผลิตและส่งออกรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น Zero series หนึ่งรุ่น และจะส่งออกไปยังญี่ปุ่นและตลาดอื่นๆ ในเอเชีย ตั้งแต่ปี 2027 

ขณะที่ ซูซูกิ ลงทุนอีกเป็นมูลค่า 8,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อขยายกำลังการผลิตในอินเดีย ให้เป็น 4 ล้านคันต่อปี จากปัจจุบันมีกำลังการผลิตอยู่แล้ว ที่ประมาณ 2 ล้าน 5 แสน คันต่อปี ซึ่งธุรกิจในอินเดียของซูซูกิ คือ Maruti Suzuki เป็นผู้ผลิตรถยนต์ที่มียอดขายสูงที่สุด และเป็นผู้ส่งออกรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของอินเดีย โดยมีเป้าหมายเพิ่มการส่งออกจากอินเดียให้มากขึ้น

นอกจากผู้ผลิตรถยนต์จากญี่ปุ่นแล้ว ก่อนหน้านี้ VinFast ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากเวียดนาม ก็ปักหมุดการลงทุนในอินเดีย ลงทุนสร้างโรงงานผลิตรถ อีวี ที่รัฐทมิฬนาฑู ซึ่งเฟสแรกใช้เงินลงทุนไป 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตั้งเป้าผลิตรถอีวี จำนวน 50,000 คันต่อปี และมีแผนขยายการลงทุนต่อเนื่องอีก สูงสุดที่ 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

โดย อินเดียถือเป็นตลาดแรกที่ วินฟาสต์ เปิดตัวรถรุ่นพวงมาลัยขวา พร้อมวางเป้าหมายให้เป็นศูนย์กลางการผลิตเพื่อส่งออกไปยังตะวันออกกลางและแอฟริกา

อย่างไรก็ตาม อินเดีย ไม่ใช่ตลาดที่ง่ายนักสำหรับผู้ผลิตรถยนต์ต่างชาติ ซึ่ง Ford และ General Motors เคยประสบปัญหาในอินเดียมาก่อนแล้ว และในที่สุดก็ต้องถอนตัวออกไป

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง