โบรกฯ มองราคายางเพิ่มขึ้นเร็วและแรง…บวกต่อ STA-NER
ทันหุ้น-สู้โควิด : บล.เอเชีย พลัส หรือ ASPS มองราคายางพาราปรับเพิ่มขึ้นเร็วและแรงในช่วง 3 เดือน นำโดยราคายางแผ่นรมควันโลก (อ้างอิง SICOM) ล่าสุดอยู่ที่ 2.75 พันดอลลาร์สหรัฐฯ/ตัน ปรับเพิ่มขึ้นถึง 83.0% ในช่วง 3 เดือน และราคายางแท่งโลกล่าสุดอยู่ที่ 1.75 พันดอลลาร์สหรัฐฯ/ตัน เพิ่มขึ้นถึง 49.5% ในช่วงเวลาเดียวกัน
สาเหตุหลักมาจาก 1) ความต้องการใช้ยางพาราฟื้นตัว ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก หลังจากหลายประเทศทยอยเปิดเมืองมากขึ้น โดยเฉพาะเศรษฐกิจจีนที่ฟื้นตัวเร็วจากการควบคุมการระบาดของ COVID-19 ได้ดี และ 2) ผลผลิตยางพาราออกสู่ตลาดลดลง เนื่องจากมีฝนตกและน้ำท่วมในหลายประเทศ อาทิ ไทย เวียดนามและจีน ทำให้ชาวสวนไม่สามารถกรีดยางได้ โดยเฉพาะประเทศไทยที่เป็นผู้ผลิตยางพารารายใหญ่สุดของโลก ผลิตยางพาราได้ราว 4.3 ล้านตัน/ปี หรือราว 33% ของผลผลิตยางพาราโลก
โดยราคายางพาราที่อยู่ในทิศทางขาขึ้น จะทำให้ลูกค้าเร่งสั่งซื้อยางพาราเร็วขึ้น และส่วนต่างระหว่างราคาขายยางพาราและต้นทุนวัตถุดิบยางพาราเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ส่งผลบวกต่อ STA (FV@B40) และ NER (FV@B4.40) ที่จะสามารถจำหน่ายยางพาราได้เพิ่มขึ้นในงวด Q4/63 และ Q1/64
ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยประเมินว่าแนวโน้มราคายางพาราจะไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในระยะยาว เนื่องจากสถาบันวิจัยยางพาราชั้นนำของโลก IRSG คาดการณ์ว่าส่วนเกินผลผลิตยางพาราโลกในปี 2564 จะอยู่ที่ 3.2 แสนตัน จากแนวโน้มผลผลิตยางพาราจะออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้น 3.1%yoy สู่ระดับ 13.4 ล้านตัน ในปี 2564 จากสภาพอากาศที่ดีขึ้น และราคายางที่อยู่ในระดับสูงจะจูงใจให้ชาวสวนยางกรีดยางมากขึ้น
สำหรับราคาน้ำยางข้นที่ปรับเพิ่มขึ้น จะส่งผลกระทบต่อ STGT จำกัด เพราะวัตถุดิบน้ำยางข้นคิดเป็นเพียง 20% ของต้นทุนขายรวม อีกทั้ง ปัจจุบันความต้องการใช้ถุงมือยางสูงขึ้น ทำให้ STGT สามารถปรับเพิ่มราคาขายถุงมือยางได้ในอัตราที่สูงกว่าต้นทุนวัตถุดิบน้ำยางข้นมาก
โดยฝ่ายวิจัยประเมินว่า STGT สามารถผลักภาระวัตถุดิบน้ำยางข้นที่สูงขึ้นให้ลูกค้าได้ สะท้อนจากการปรับเพิ่มราคาขายถุงมือยางได้ถึง 70% qoqในงวด Q3/63 และปรับเพิ่มราคาขายได้อีก 12% qoqในงวด Q4/63 จึงยังแนะนำซื้อ STGT (FV@B100) ที่คาดกำไรสุทธิจะขึ้นทำ New high ต่อเนื่องในงวด Q3-Q4/63