ส่องหุ้น 3 กลุ่มรับผลดีนโยบายภาครัฐ EASY E-RECEIPT
#ทันหุ้น-บล.เอเซีย พลัส หรือ ASPS ระบุว่า วานนี้ รมช.คลัง เปิดเผยว่าโครงการ EASY E-RECEIPT เป็นโครงการให้บุคคลธรรมดา สามารถหักลดหย่อนค่าซื้อสินค้าและบริการ ไม่เกิน 5 หมื่นบาท(1 ม.ค.-15 ก.พ.67) โดยต้องมีหลักฐานเป็นใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ คาดว่าเพิ่มเงินหมุนเวียนในระบบ 70,000 ล้านบาท หรือกระตุ้น GDP ปี 2567 ให้เพิ่มขึ้นอีก 0.18% ทั้งนี้ผู้ที่ใช้มาตรการ EASY E-RECEIPT แล้ว หากเข้าเงื่อนไขของเกณฑ์ DIGITAL WALLET ก็ยังสามารถใช้โครงการดังกล่าวได้ด้วย ส่วนสินค้าหรือค่าบริการที่ไม่สามารถหักลดหย่อนได้ คือ ค่าซื้อสุรา เบียร์ ไวน์ ยาสูบ ค่าซื้อรถยนต์ รถจักรยานยนต์ และเรือ ค่าน้ำมัน และก๊าซสำหรับเติมยานพาหนะ ค่าสาธารณูปโภคเช่น ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า ค่าบริการโทรศัพท์ และค่าบริการอินเทอร์เน็ต ค่าเบี้ยประกันวินาศภัย เป็นต้น
ขณะที่หากพิจารณาในมุมของกลุ่มอุตสาหกรรม ที่จะได้ประโยชน์จากนโยบายดังกล่าว คือ
-กลุ่มท่องเที่ยว : CENTEL, ERW, MINT
-กลุ่มอุปโภค/บริโภค : CPN, CPAXT, HMPRO, ADVANC, COM7, CRC, CPALL, BJC, CBG, OSP, JMART, COM7, DCC, M, AU, SCGP
-กลุ่มคาดหวังเศรษฐกิจฟื้น : KBANK, BBL, TISCO, TIDLOR, MTC, SAWAD, KTC, AEONTS, BAM
**ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ
ในส่วนของนโยบายการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ล่าสุดบอร์ดไตรภาคี ยึดมติเดิม คือ ปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 2-16 บาท พร้อมเสนอเข้าที่ประชุม ครม.สัปดาห์หน้า(26 ธ.ค.66) ลุ้นมีผลตั้งแต่ ม.ค.67 หลังจากนั้นอาจมีการปรับขึ้นค่าจ้างอีกครั้งช่วงก่อนหรือหลังวันแรงงานปี2567(1 พ.ค.67) แต่ต้องดูความพร้อมของทุกฝ่ายด้วย ซึ่งอาจพิจารณาปรับขึ้น ตามประเภทของกิจการโดยการปรับสูตรการคำนวณค่าจ้างครั้งนี้ถือเป็นการปรับในรอบ 6 ปี และอาจปรับขึ้นไปได้ถึง 400 บาท
โดยฝ่ายวิจัยฯคาดว่า กลุ่มอุตสาหกรรม ที่จะได้รับผลกระทบ หากนโยบายดังกล่าวเกิดขึ้นจริง คือ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง, กลุ่มนิคม, กลุ่มอสังหาฯ, กลุ่มท่องเที่ยว/เครื่องบิน, กลุ่มค้าปลีก เป็นต้น อย่างไรก็ตามการที่บอร์ดไตรภาคี ยึดมติเดิม ทำให้แรงกดดันที่ส่งมาถึงกลุ่มอุตสาหกรรมเบาบางลง เนื่องจากตอบรับตัวเลขดังกล่าวไประดับหนึ่งแล้ว ทำให้ช่วงสั้นมีโอกาสสูงที่จะสามารถเก็งกำไรได้ ในหุ้นที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง ดังนั้นนักลงทุนจึงต้องติดตามประเด็นนี้อย่างใกล้ชิดว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอัตราปรับขึ้นหรือไม่
สรุป ประเด็นการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำที่จะเข้า ครม. ธ.ค.66 หากเกิดขึ้นจริง คาดเกิดผลกระทบต่อหุ้นกลุ่มที่เสียประโยชน์น้อยลง เนื่องจากรับรู้ไปมากแล้ว ถือเป็นโอกาสในการสะสมหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่ง ขณะที่นโยบาย EASY-RECEIPT รมช.คลังคาดว่าจะเพิ่มเงินหมุนเวียนในระบบ 70,000 ล้านบาท หรือกระตุ้น GDP ปี 2567 ให้เพิ่มขึ้นอีก 0.18% โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดได้ประโยชน์หลักๆ คือ กลุ่มอุปโภค-บริโภค อาทิ หุ้นCPN, CPALL, CRC, ADVANC ,JMART และ SCGP เป็นต้น