รีเซต

รัฐประหารเมียนมา: ผู้ประท้วงเรียนรู้อะไรได้บ้างจาก "คนยุค 1988"

รัฐประหารเมียนมา: ผู้ประท้วงเรียนรู้อะไรได้บ้างจาก "คนยุค 1988"
ข่าวสด
18 มีนาคม 2564 ( 23:51 )
98

ผู้นำนักศึกษาริเริ่มการประท้วงเพื่อยุติการปกครองของกองทัพที่ประชาชนเกลียดชังในเมียนมา การประท้วงแผ่ขยายไปทั่วประเทศ มีการหยุดงานประท้วงใหญ่ ทำให้กองทัพใช้กำลังปราบปรามอย่างโหดร้าย นี่คือเหตุการณ์ในปี 2021 หรือ 1988

 

การลุกฮือประท้วงในปี 1988 ยังคงเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่มีความหมายมากที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของเมียนมา รัฐบาลทหารซึ่งเคยใช้ความรุนแรงอย่างสุดขีดในการรักษาอำนาจไว้ พบว่าตัวเองกำลังเผชิญกับการประท้วงขนาดใหญ่จากการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ผิดพลาดและสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงขึ้น

 

ในปี 1988 ชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ชื่อว่า "พม่า" ซึ่งเป็นชื่อเดิมในขณะนั้น ถูกปกครองมานาน 26 ปี โดยนายพลเน วิน ซึ่งเป็นคนที่เชื่อถือเรื่องโชคลางและเป็นคนลึกลับ หลังจากที่ยึดอำนาจจากการทำรัฐประหารในปี 1962 เขาเป็นผู้บัญชาการกองกำลังติดอาวุธที่รู้จักกันในชื่อว่า ทัตมาดอว์ (Tatmadaw) ซึ่งสู้รบกับกลุ่มกบฏต่าง ๆ ในหลายพื้นที่ของพม่า นับตั้งแต่ได้รับเอกราชในปี 1948 และเขาเห็นว่าพลเรือนไร้ความสามารถในการรักษาประเทศให้เป็นปึกแผ่น

 

Science Photo Library
นี่ภาพจากการทำรัฐประหารครั้งไหน ? นี่คือภาพการประท้วงในปี 1988

นายพลเน วิน ตัดขาดพม่าจากโลกภายนอก ปฏิบัติการเลือกข้างในช่วงที่มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายในสงครามเย็นที่ลุกลามมาถึงเอเชียด้วย แต่เขากลับนำระบบพรรคเดียวที่แปลกประหลาดมาบังคับใช้ภายใต้ชื่อว่า พรรคโครงการสังคมนิยมพม่า (Burma Socialist Programme Party) ซึ่งกองทัพได้เข้ามามีบทบาทครอบงำ และนำพาพม่าให้กลายเป็นหนึ่งในประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก

 

ละครการเมืองที่ส่งผลให้เกิดการประท้วงครั้งใหญ่ในเดือน ส.ค. และ ก.ย. 1988 แท้จริงแล้วเริ่มต้นมาก่อนหน้านั้น 1 ปี จากการที่นายพลเน วิน ตัดสินใจอย่างฉับพลันยกเลิกธนบัตรที่มีอยู่ในขณะนั้นทั้งหมด ก่อให้เกิดผลกระทบและความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล โดยเฉพาะในหมู่นักศึกษาที่เก็บออมเงินไว้เป็นค่าเล่าเรียนของพวกเขา

 

"ยุค 88"

การเผชิญหน้ากับรัฐบาลทหารได้เริ่มยกระดับขึ้นนับตั้งแต่จุดนั้น โดยทหารได้เพิ่มระดับการใช้กำลังความรุนแรง ไปจนถึงจุดที่มีผู้เสียชีวิตหลายพันคนในช่วงปลายปี 1988 การใช้ความรุนแรงกับพลเรือนที่ไม่มีอาวุธนับตั้งแต่การทำรัฐประหารเมื่อเดือนที่แล้วเป็นเรื่องที่น่าตกใจ แต่ก็ยังไม่ถึงระดับเดียวกับที่เกิดขึ้นในปี 1988

 

จนถึงทุกวันนี้กลุ่มที่เรียกว่านักศึกษา "ยุค 88" ซึ่งนำการลุกฮือประท้วงครั้งนั้น มีสถานะพิเศษในเมียนมา หลายคนใช้เวลาอยู่ในเรือนจำนานถึง 20 ปี พวกเขาได้รับการปฏิบัติอย่างเลวร้ายและถูกลิดรอนสิทธิ์ทำให้สุขภาพทรุดโทรม แต่จิตวิญญาณในการต่อสู้ของพวกเขายังคงอยู่ บางคนยังคงออกมาร่วมในการประท้วงปัจจุบันนี้ด้วย

 

Science Photo Library
มีผู้เสียชีวิตหลายพันคนจากการปราบปรามการชุมนุมในปี 1988

แต่พวกเขาไม่ได้เป็นเด็กอีกต่อไปแล้ว ผู้นำยุค 88 ที่เป็นที่รู้จักที่สุดคือ มิน โก หน่าย อายุ 58 ปีแล้ว และเทคโนโลยีได้เปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของการประท้วงไปอย่างมาก ทำให้มีการอัดคลิปเหตุการณ์เผชิญหน้ากันในแต่ละครั้งและอัปโหลดในทันที มีการบันทึกการกระทำทารุณของกองกำลังความมั่นคงไว้จำนวนมาก

 

โซเชียลมีเดีย กับ ใบปลิว

ดังนั้นในปัจจุบัน แม้แต่ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลที่สุดของเมียนมาก็รับรู้เรื่องราวที่กำลังเกิดขึ้นในที่ทุกที่ทั่วประเทศพร้อม ๆ กัน เพราะข่าวการประท้วงและการปราบปรามผู้ประท้วงปรากฏอยู่บนเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ในที่เหล่านั้น เกือบจะเร็วพอ ๆ กับในเมืองใหญ่ต่าง ๆ

 

แต่เมื่อย้อนกลับไปในปี 1988 นักศึกษาต้องพึ่งพาใบปลิวที่มีการพิมพ์ออกมาอย่างง่าย ๆ และอาศัยการสื่อสารแบบบอกต่อ ในสมัยนั้นพม่ายังเข้าถึงโทรทัศน์ได้อย่างจำกัดมาก หรือแม้แต่สายโทรศัพท์บ้านแบบโบราณก็ยังมีอยู่น้อย

 

รายงานข่าววิทยุที่สร้างความรำคาญใจแก่ผู้นำประเทศผ่านการกระจายเสียงคลื่นสั้นของสถานีบีบีซี เวิลด์ เซอร์วิส (BBC World Service) เป็นแหล่งข้อมูลสำคัญทั้งสำหรับผู้ที่พูดภาษาอังกฤษและภาษาพม่า

 

คริสโตเฟอร์ กันเนสส์ ผู้สื่อข่าวบีบีซีรุ่นเยาว์ ซึ่งเป็นหนึ่งในชาวต่างชาติเพียงไม่กี่คนที่สามารถรายงานข่าวจากที่นั่นได้เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ระหว่างเกิดเหตุวุ่นวายหลายครั้งในเดือน ส.ค. ทำให้เขากลายเป็นวีรบุรุษ เพราะการรายงานของเขาช่วยกระจายข่าวเกี่ยวกับการเรียกร้องให้หยุดงานประท้วงใหญ่ในวันที่ 8 เดือน ส.ค. ปี 1988 หรือที่เรียกว่า 8.8.88 ซึ่งมีคนหลายแสนคนออกมาร่วมประท้วง ก่อนเกิดการปราบปรามอย่างรุนแรง

 

การโดดเดี่ยวเศรษฐกิจตัวเองจากโลกภายนอกและความยากจนแสนสาหัสได้กระตุ้นให้คนออกมาประท้วงในปี 1988 ไม่ใช่การยึดอำนาจอย่างกะทันหันหลังจากมีการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยมานาน 10 ปี อย่างที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ในปี 2021 ผู้ที่นำการประท้วงต้องการรักษาโอกาสทางเศรษฐกิจและการติดต่อกับโลกภายนอกไว้ ซึ่งในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ได้มีความก้าวหน้าไปไกลเกินกว่าในยุคของพ่อแม่พวกเขามาก

 

"การลุกฮือประท้วงในปี 1988 เริ่มขึ้นเพราะความไม่พอใจกับระบบสังคมนิยมในเมียนมามากกว่า" เย ลอง ออง พนักงานรัฐที่เคลื่อนไหวกับขบวนการอารยะขัดขืน (Civil Disobedience Movement--CDM) กล่าว

 

"เมื่อมันล่มสลายลง กองทัพก็เข้ามายึดอำนาจต่อ แต่ในปี 2021 เป็นการใช้กำลังยึดอำนาจไปจากรัฐบาลพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (National League for Democracy government--NLD) มันแตกต่างกันอย่างมาก เราเข้าร่วม CDM เพราะเรายอมรับเพียงรัฐบาล NLD ที่มาจากการเลือกตั้งเท่านั้น ในปี 1988 พนักงานของรัฐเลิกไปทำงานจำนวนมาก เพราะว่าความไม่สงบและความรุนแรงที่เกิดขึ้น แต่ปัจจุบัน เราปฏิเสธที่จะทำงานเพราะเราไม่ต้องการจะเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลรัฐประหาร"

 

ออง ซาน ซู จี กับ ผู้นำอีกหลายพันคน

ในปี 1988 ออง ซาน ซู จี ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำขบวนการเคลื่อนไหวต่อต้านอย่างชัดเจน เดิมที เธออยู่ในเมียนมาเพื่อดูแลแม่ที่กำลังป่วย เธอได้ก่อตั้งพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยขึ้น ซึ่งเป็นองค์กรที่มีลักษณะการบริหารงานแบบรวมศูนย์ สั่งการจากบนลงล่าง โดยมีอดีตนายทหารอาวุโสอย่าง ออง จี และ ถิ่น อู เป็นผู้ร่วมก่อตั้งด้วย

 

ต่างจากขบวนการเคลื่อนไหวในปัจจุบันนี้ที่มักจะถูกเรียกว่า "ไร้ผู้นำ" แต่ในความเป็นจริงแล้วมีผู้นำหลายพันคน ทุกคนรับผิดชอบในการจัดการชุมนุมในพื้นที่ภายใต้โครงสร้างที่ยืดหยุ่นและยึดกันแบบหลวม ๆ

 

EPA
การประท้วงในปี 2021 จัดขึ้นโดยไม่มีออง ซาน ซู จี เป็นผู้นำการประท้วง

บทเรียนจากอดีต

ประท้วงในปี 1988 เป็นบทเรียนสำหรับนักเคลื่อนไหวยุคปัจจุบันที่สามารถเรียนรู้จากเหตุการณณ์ครั้งนั้นได้

ผู้ประท้วงปี 1988 ดีใจเร็วเกินไปในการแต่งตั้งผู้นำพลเรือนที่เป็นไปตามที่คาดไว้ และก็จัดตั้งกลุ่มของพวกเขาเองให้กลายเป็นขบวนการที่เป็นเอกภาพช้าเกินไป

 

เน วิน ลาออกในเดือน ก.ค. และนายพลเส่ง ลวิน ได้ขึ้นมาสืบทอดตำแหน่งต่อจากเขา เขาถูกเรียกขานว่า "นักฆ่าแห่งย่างกุ้ง" จากบทบาทในการปราบปรามการชุมนุม 8.8.88 ที่ใช้เวลานาน 17 วัน

แต่ความเห็นที่แบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันเกี่ยวกับทิศทางที่จะดำเนินต่อไปของขบวนการ ประกอบกับเหตุร้ายที่เพิ่มมากขึ้นในหมู่ประชาชนที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวในช่วงที่ไม่มีรัฐบาลกลายเป็นสุญญากาศของอำนาจ ทำให้เกิดการรัฐประหารของกองทัพขึ้นในวันที่ 18 ก.ย. ซึ่งได้นำมาซึ่งการปกครองแบบเผด็จการและโหดร้ายนานถึง 20 ปี โดยนางออง ซาน ซู จี ผู้เป็นสัญลักษณ์แห่งความหวังของคนในยุคนั้นต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ในช่วง 20 ปีนั้นกับการถูกควบคุมตัวไว้ภายในบ้าน

 

แทบไม่มีการประสานงานกันหรือแม้แต่การสื่อสารกันในปี 1988 ระหว่างขบวนการประท้วงของนักศึกษาและชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์กลุ่มต่าง ๆ ซึ่งสู้รบมานับตั้งแต่ได้รับเอกราช เพื่อให้มีการลดการกระจุกตัวของอำนาจไว้ที่ส่วนกลาง และให้มีรัฐบาลภายใต้ระบอบสหพันธรัฐ ความไม่ไว้วางใจกันระหว่างชาวพม่าซึ่งเป็นชนกลุ่มใหญ่ในประเทศและชนกลุ่มน้อยขนาดใหญ่หลายกลุ่มดำเนินต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้

 

อย่างไรก็ตาม นักเคลื่อนไหวรุ่นใหม่ในกลุ่ม CDM กำลังเรียกร้องอย่างเปิดเผยให้มีการจัดตั้งการเมืองอย่างเปิดกว้างและเป็นตัวแทนของทุกฝ่าย และยังขอโทษต่อการเพิกเฉยต่อการกระทำทารุณที่ผ่านมาในอดีตทั้งต่อชาวชาวกะเหรี่ยง ชาวคะฉิ่น และชาวโรฮิงญา

 

ไม่หวนกลับไปจุดเดิม

"ขณะที่ทุกคนเห็นตรงกันว่า ทหารคือศัตรู พวกเขาก็เริ่มรู้ตัวขึ้นเรื่อย ๆ ว่าสิ่งต่าง ๆ ไม่อาจหวนกลับไปสู่จุดเดิมได้ เช่น การเคารพผลการเลือกตั้ง และให้ออง ซาน ซู จี ปกครองประเทศร่วมกับกองทัพซึ่งเป็นสถานการณ์ที่น่ากระอักกระอ่วน" เอลเลียต พาสเซ-ฟรีแมน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ ซึ่งมีผลงานเขียนเกี่ยวกับเมียนมาอย่างกว้างขวางกล่าว

 

"สิ่งที่ย้อนแย้งก็คือ กองทัพเป็นผู้บังคับให้มาถึงจุดนี้ ฝ่ายเสรีนิยมกระแสหลักกำลังถูกบีบให้เผชิญกับความเป็นจริงที่ว่า สิ่งที่เรียกว่าประชาธิปไตยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ก็ยังคงได้เป็นได้เพียง 'สิ่งที่เรียกว่า' "

การเข้าสู่อำนาจของทหารหลังจากการลุกฮือประท้วงปี 1988 ทำให้เห็นว่า บรรดานายพลทั้งหลายล้วนมั่งคั่งขึ้นจากการทำธุรกิจที่ไม่สุจริต ส่งผลให้ความนิยมที่มีกองทัพลดน้อยลงไป จากที่ครัังหนึ่งเคยได้รับการยกย่องนับถือจากประชาชนจำนวนมากว่าเป็นผู้ปกป้องความสามัคคีของคนในชาติ

 

ปัจจุบัน พวกเขายังได้ละเมิดคำมั่นสัญญาที่เคยให้ไว้ในปี 1988 ที่บอกว่าจะให้มีการเดินหน้าสู่ประชาธิปไตย แต่ก็ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขและกรอบเวลาที่ทางกองทัพเป็นฝ่ายเลือกเอง แล้วพวกเขาก็ทำให้ประชาชนชาวเมียนมาได้ตระหนักว่า ไม่ว่าทหารจะพูดอะไรไว้ พวกเขาก็ไม่เคยเต็มใจยอมสละอำนาจที่มีอยู่ในประเทศเป็นส่วนใหญ่ในช่วง 73 ปีนับตั้งแต่มีกองทัพมา

เรื่องนี้ช่วยอธิบายสาเหตุที่ว่า ทำไมถึงมีคนจำนวนมากยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อพยายามหยุดยั้งการทำรัฐประหารครั้งนี้ไม่ให้ประสบความสำเร็จ ต่างไปจากการทำรัฐประหารครั้งก่อน ๆ

 

"บรรดานายพลอาจพูดอยู่เสมอว่า ...ในที่สุดแล้วพวกเขาได้ทำตามคำสัญญาช่วงหลังปี 1988 ในการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตย" เอลเลียต พาสเซ-ฟรีแมน กล่าว

"พวกเขาพูดเช่นนั้นไม่ได้อีกต่อไปแล้ว และในสายตาของคนส่วนใหญ่ ระบบทั้งหมดตอนนี้ไม่ใช่อะไรอย่างอื่นเลยนอกจากองค์กรก่อการร้าย นี่คือคำที่ใช้กันทางโซเชียลมีเดียทั้งภาษาอังกฤษและภาษาพม่า [อาจัน-เพ็ต ทามา] ในช่วงกลางวัน ตำรวจและเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงอื่น ๆ ทุบตีและเข่นฆ่าผู้ประท้วงอย่างสันติ ส่วนช่วงกลางคืน มีการส่งต่อวิดีโอที่พวกเขาทุบรถยนต์ ทำลายรถสามล้อ และยิงใส่ประชาชนอย่างไม่เลือกหน้า"

 

"กองทัพเห็นประชาชนเป็นศัตรูมานานแล้ว แต่การกระทำเหล่านี้ไร้มนุษยธรรมและน่าหดหู่อย่างมาก ทำให้เห็นว่าช่องว่างระหว่างกองทัพกับประชาชนกว้างขึ้นมากแค่ไหน"

 

ข้อมูลพื้นฐานของเมียนมา

  • เมียนมา หรือรู้จักในอีกชื่อว่า พม่า ได้รับเอกราชจากอังกฤษในปี 1948 จากนั้นเมียนมาก็ตกอยู่ภายใต้การปกครองของทหารเป็นเวลายาวนาน
  • เริ่มมีการผ่อนคลายข้อจำกัดต่าง ๆ ต่อเมียนมาในปี 2010 เป็นต้นมา ซึ่งนำไปสู่การเลือกตั้งอย่างเสรีในปี 2015 และมีการจัดตั้งรัฐบาลที่นำโดยนางออง ซาน ซู จี ผู้นำฝ่ายค้าน ในปีต่อมา
  • ในปี 2017 กองทัพเมียนมาได้ตอบโต้การโจมตีตำรวจของกลุ่มติดอาวุธโรฮิงญาด้วยการปราบปรามอย่างรุนแรง ทำให้มีชาวมุสลิมโรฮิงญากว่า 5 แสนคน ต้องอพยพข้ามพรมแดนเข้าไปในบังกลาเทศ ซึ่งต่อมาสหประชาชาติเรียกสิ่งนี้ว่าเป็น "ตัวอย่างของการฆ่าล้างกลุ่มชาติพันธุ์ตามตำรา"

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง