ยูเอ็นร้องขอกว่า 2.7 หมื่นล้าน ช่วยเหลือมนุษยธรรมในเมียนมา

สหประชาชาติ (ยูเอ็น) ออกมาร้องขอเงินเพื่อให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ชาวเมียนมา 6.2 ล้านคน 826 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 27,464 ล้านบาท ในปี 2565 โดยระบุว่าเมียนมาตกอยู่ในสถานการณ์อันย่ำแย่อย่างที่ไม่เคยเกิดมาก่อนนับตั้งแต่มีการยึดอำนาจเมื่อปีที่ผ่านมา

ยูเอ็นระบุว่า หลังจากการยึดอำนาจได้ 1 ปี ความวุ่นวายทางเศรษฐกิจอันเป็นผลสืบเนื่องจากการยึดอำนาจทำให้คนจำนวนมากในเมียนมาไม่สามารถที่จะเลี้ยงดูครอบครัวของตนเองได้ โดยยูเอ็นประเมินว่าชาวเมียนมา 24 ล้านคนจากประชากร 54 ล้านคนในประเทศตกอยู่ในสถานะยากจน และ 14.4 ล้านคนต้องการความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ซึ่งรวมถึงเด็ก 5 ล้านคน

ยูเอ็นหวังว่าจะสามารถให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมกับผู้ที่ยากไร้ร้ายแรง 6.2 ล้านคน โดยประกาศแผนที่จะร้องขอเงินบริจาคสูงกว่า 2 เท่าจากปีที่ผ่านมา และถือว่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์สำหรับเมียนมา

เยนส์ แลร์กา โฆษกของหน่วยงานด้านมนุษยธรรมของยูเอ็น กล่าวว่า ความวุ่นวายทางเศรษฐกิจและการเมืองในปี 2564 ผนวกกับผลกระทบอันร้ายแรงในการแพร่ระบาดของโควิด-19 ผลักดันให้ประชากรครึ่งหนึ่งของเมียนมาเข้าสู่ภาวะยากจน หลายคนไม่สามารถหาเลี้ยงครอบครัวได้อีกต่อไปเพราะตกงานและสูญเสียรายได้ ขณะที่ราคาข้าวของก็เพิ่มสูงขึ้น

สำนักงานสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติระบุว่า นับตั้งแต่เกิดเหตุรัฐประหาร มีชาวเมียนมาที่ถูกกองทัพสังหารแล้วอย่างน้อย 1,500 คน ภายใต้การปราบปรามอย่างโหดเหี้ยมต่อผู้เห็นต่าง ขณะที่อีกหลายพันคนถูกสังหารในการสู้รบและความรุนแรงที่เกิดขึ้นเป็นวงกว้าง โดยมีประชาชนมากกว่า 4 แสนคนที่ต้องกลายเป็นผู้พลัดถิ่น