รีเซต

“ติมอร์-เลสเต” จากอาณานิคม 400 กว่าปี สู่เอกราชประชาธิปไตย

“ติมอร์-เลสเต” จากอาณานิคม 400 กว่าปี สู่เอกราชประชาธิปไตย
TNN ช่อง16
5 พฤศจิกายน 2568 ( 19:30 )
1

ก่อนหน้าที่ติมอร์-เลสเตจะได้รับเอกราช ประชาคมโลกรู้จักที่นี่ในนาม “ติมอร์ตะวันออก” ซึ่งเป็นชื่อที่สื่อถึงพื้นที่ทางฝั่งตะวันออกของเกาะติมอร์


ทว่าเส้นทางของประเทศนี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ หากแต่เต็มไปด้วยขวากหนามตลอดทาง หลังจากตกอยู่ภายใต้การปกครองของโปรตุเกสมายาวนานกว่า 400 ปี


จนกระทั่งวันที่ 28 พฤศจิกายน ปี 1975 ติมอร์ตะวันออกได้ประกาศเอกราชจากโปรตุเกส แต่เอกราชนั้นอยู่ได้เพียงไม่กี่วัน เพราะในวันที่ 7–8 ธันวาคม ปีเดียวกัน อินโดนีเซียได้บุกยึดครอง โดยอ้างความกังวลว่าประเทศเพื่อนบ้านใหม่อาจมีแนวโน้มเป็นประชาธิปไตยและเอนเอียงไปทางซ้าย


การยึดครองของอินโดนีเซียกินเวลานานถึง 24 ปี ช่วงเวลานั้นติมอร์ตะวันออกเต็มไปด้วยการปราบปราม ความรุนแรง และการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวาง มีผู้เสียชีวิตราว 180,000 คน หรือเกือบหนึ่งในสามของประชากรทั้งหมดในขณะนั้น


กลุ่มต่อต้านสำคัญอย่างแนวร่วมปฏิวัติเพื่อเอกราชติมอร์ตะวันออก หรือ “เฟรตีลิน” (FRETILIN) และกองกำลังติดอาวุธ “ฟาลินติล” (FALINTIL) เป็นแกนนำในการต่อสู้เพื่อเอกราช ร่วมกับองค์กรอื่น เช่น สหภาพประชาธิปไตยแห่งติมอร์ตะวันออก (UDT) ซึ่งรวมตัวกันภายใต้สภาต่อต้านเมาเบเรแห่งชาติ (National Council of Maubere Resistance) จัดตั้งแนวร่วมแห่งชาติเพื่อการต่อต้านในปี 1986 เพื่อเรียกร้องสิทธิในการกำหนดชะตาชีวิตของตนเอง


จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 1991 เมื่อเกิดเหตุ “สังหารหมู่ดิลี” (Dili Massacre) ซึ่งกองทัพอินโดนีเซียยิงผู้ประท้วงเสียชีวิตกว่า 180 คน เหตุการณ์นี้ถูกเผยแพร่ไปทั่วโลก จุดกระแสเรียกร้องนานาชาติให้สนับสนุนเอกราชของติมอร์ตะวันออก


ภายใต้แรงกดดันระหว่างประเทศและการล่มสลายของระบอบซูฮาร์โตในปี 1998 อินโดนีเซียภายใต้ประธานาธิบดี บี.เจ. ฮาบีบี จึงยอมให้ติมอร์ตะวันออกจัดทำประชามติภายใต้การดูแลของสหประชาชาติ เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม ปี 1999 ผลคือ 78.5% ของประชาชนเลือก “เอกราช”


อย่างไรก็ตาม เสรีภาพนั้นต้องแลกมาด้วยราคาที่แสนสาหัส เพราะผลประชามติได้นำไปสู่ความรุนแรงจากกลุ่มที่สนับสนุนอินโดนีเซีย บ้านเมืองถูกเผาทำลาย ประชาชนหลายหมื่นคนต้องอพยพ จนกองกำลังนานาชาติที่นำโดยออสเตรเลีย (INTERFET) ต้องเข้ามาควบคุมสถานการณ์


เดือนตุลาคม ปี 1999 หลังจากการทำประชามติ อินโดนีเซียยอมรับผลอย่างเป็นทางการ สหประชาชาติจึงจัดตั้งองค์การบริหารช่วงเปลี่ยนผ่านแห่งสหประชาชาติในติมอร์ตะวันออก (UNTAET) เพื่อบริหารประเทศชั่วคราวและเตรียมสู่เอกราชเต็มรูปแบบ

จากติมอร์ตะวันออกในวันนั้น สู่การเลือกตั้งเสรีครั้งแรกในปี 2001 เพื่อจัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ และในวันที่ 20 พฤษภาคม ปี 2002 ติมอร์ตะวันออกได้ประกาศฟื้นฟูเอกราชอย่างเป็นทางการ ภายใต้ชื่อใหม่ “สาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเต” โดยมีผู้นำผู้ก่อตั้งประเทศอย่างนายกรัฐมนตรี คาเย ราลา ซานานา กุสมาว และประธานาธิบดี โชเซ รามอส-ฮอร์ตา ร่วมกันกอบกู้ประเทศขึ้นมาจากซากสงคราม


ติมอร์-เลสเตกลายเป็นประชาธิปไตยที่อายุน้อยที่สุดในโลก และเป็นประเทศเอกราชใหม่ประเทศแรกของศตวรรษที่ 21


ปีแรก ๆ หลังเอกราช เต็มไปด้วยความยากลำบากและความเปราะบาง เนื่องจากเศรษฐกิจพึ่งพารายได้จากน้ำมันและก๊าซเป็นหลัก รวมถึงวิกฤตทางการเมืองในปี 2006 ที่เกือบทำให้รัฐล่มสลายจากความขัดแย้งระหว่างกองทัพกับตำรวจ และความแตกแยกระหว่างผู้นำทางการเมือง เหตุการณ์นั้นทำให้เกิดการลุกฮือของทหารและตำรวจราว 2,000 นายที่ถูกปลดออกจากตำแหน่ง จนรัฐบาลต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน และกองกำลังรักษาสันติภาพของสหประชาชาติเข้ามาแทรกแซง


ด้วยเศรษฐกิจที่พึ่งพาน้ำมันและก๊าซเป็นหลัก รายได้หลักของรัฐบาลมาจากพลังงานและการส่งออก แม้จะช่วยสร้างเสถียรภาพการคลังในระยะสั้น แต่ก็ทำให้ติมอร์-เลสเตเผชิญ “กับดักทรัพยากรธรรมชาติ” เมื่อแหล่งน้ำมันหลักเริ่มลดลง


นอกจากนี้ ประเทศยังเคยมีข้อพิพาททางทะเลกับออสเตรเลียเรื่องเขตแดนและสิทธิในแหล่งพลังงานใต้ทะเล ซึ่งกระทบโดยตรงต่ออธิปไตยทางเศรษฐกิจ แม้ภายหลังทั้งสองฝ่ายจะบรรลุข้อตกลงแบ่งปันผลประโยชน์ แต่ความท้าทายเรื่องการบริหารทรัพยากรและการกระจายรายได้ยังคงอยู่


นายกรัฐมนตรีกุสมาวกล่าวไว้อย่างตรงไปตรงมาว่า “เราไม่ใช่รัฐที่ล้มเหลว แต่เราเป็นรัฐที่เปราะบาง” บ่งบอกว่า นี่ไม่ใช่ถ้อยคำแห่งความฝัน แต่คือความจริงที่กำลังประคับประคองประเทศให้ก้าวต่อไป

แม้จะเปราะบาง แต่ติมอร์-เลสเตก็ยังยืนหยัดที่จะสู้ต่อ


กว่าสองทศวรรษหลังเอกราช ประเทศยังเผชิญความยากจนอย่างหนัก ติมอร์-เลสเตเป็นหนึ่งในประเทศที่ยากจนที่สุดในเอเชีย มี GDP ราว 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ประชากรราว 40% ยังอยู่ใต้เส้นความยากจน และพื้นที่เพาะปลูกมีเพียง 20% ของประเทศ ภูมิประเทศที่เป็นภูเขาทำให้การทำเกษตรยากลำบาก ขณะที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยิ่งเพิ่มความไม่มั่นคงในการดำรงชีวิต


แต่ภายใต้ข้อจำกัดเหล่านี้ ติมอร์-เลสเตสามารถสร้างสถาบันประชาธิปไตยที่มั่นคง จัดการเลือกตั้งอย่างเสรี และหล่อหลอมคนรุ่นใหม่ที่ได้รับการศึกษาในต่างประเทศ ซึ่งมองเห็นการเข้าร่วมอาเซียนว่าเป็น “ประตูแห่งโอกาส”


ความท้าทายของประเทศจึงเปลี่ยนจาก “การอยู่รอด” สู่ “การยืนหยัด” จากรัฐที่บอบช้ำหลังสงคราม สู่ประเทศที่เริ่มมีบทบาทในฐานะสมาชิกผู้ร่วมสร้างอนาคตของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง