รีเซต

รัฐอยากให้เกษียณ 65 แต่คนไทยอยากพักก่อน 60 ทำไมมุมมองถึงสวนทางกัน?

รัฐอยากให้เกษียณ 65 แต่คนไทยอยากพักก่อน 60 ทำไมมุมมองถึงสวนทางกัน?
TNN ช่อง16
9 ตุลาคม 2568 ( 13:35 )
17

เมื่อความคาดหวังของรัฐชนกับความจริงในกระเป๋าประชาชน

ถ้าถามคนไทยส่วนใหญ่ว่าอยากเกษียณเมื่อไหร่ คำตอบคงไม่พ้น “ยิ่งเร็วยิ่งดี” แต่ในมุมของรัฐบาล การให้คนทำงานนานขึ้นถึง 65 ปีกลับถูกมองว่าเป็นทางออกของปัญหาใหญ่หลายเรื่องที่ประเทศกำลังเผชิญอยู่ ความขัดแย้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของตัวเลขอายุ หากแต่คือการปะทะกันระหว่าง “ความจำเป็นทางเศรษฐกิจของรัฐ” กับ “ความมั่นคงในชีวิตของประชาชน”

สถานการณ์ปัจจุบันชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ประเทศไทยมีประชากรอายุเกิน 60 ปีแล้วกว่า 20% ของประชากรทั้งหมด ส่งผลให้ไทยก้าวเข้าสู่ “สังคมสูงวัยสมบูรณ์” ตั้งแต่ปี 2566 และนี่ไม่ใช่แค่สถิติบนกระดาษ แต่มันคือจุดเปลี่ยนสำคัญที่บังคับให้ทุกฝ่ายต้องร่วมกันหาทางออกอย่างจริงจัง

เมื่อกองทุนประกันสังคมเริ่มส่งสัญญาณอันตราย? 

รัฐบาลไม่ได้หยิบเรื่องขยายอายุเกษียณขึ้นมาพูดเพราะอยากบังคับใคร แต่เพราะตัวเลขเบื้องหลังมันน่ากังวล การศึกษาร่วมระหว่างกองทุนประกันสังคมและองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ในปี 2020 ชี้ว่า หากไม่มีการปฏิรูประบบใดๆ กองทุนอาจขาดสภาพคล่องและล้มภายใน 30 ปี โดยคาดว่าเงินสำรองจะหมดลงราวปี 2597

ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ “เงินไม่พอ” เพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่โครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนเร็วเกินไป ประชากรวัยทำงานอายุ 15–64 ปี ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนราว 71% จะลดลงเหลือเพียง 56% ภายในปี 2603 หมายความว่า “คนจ่ายเข้ากองทุนจะน้อยลง แต่คนรับผลประโยชน์กลับเพิ่มขึ้น” เหมือนเรือที่มีรูรั่วมากขึ้น ขณะที่คนตักน้ำออกกลับเหลือน้อยลง

ที่ผ่านมา นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ในขณะนั้น ได้เคยเสนอให้ขยายอายุเกษียณเป็น 65 ปี ควบคู่กับการปรับอัตราการสมทบ เพิ่มเพดานค่าจ้าง และสร้างความร่วมมือจากทุกฝ่าย แต่นโยบายนี้ไม่ง่ายที่จะได้รับการยอมรับจากสังคม

ความจริงในกระเป๋าที่รัฐอาจมองข้าม? 

ในขณะที่รัฐอยากให้คนทำงานถึง 65 ปี ความจริงในชีวิตของประชาชนกลับโหดร้ายกว่า ผลสำรวจระบุว่า 50% ของคนวัยทำงาน “ไม่พร้อมทางการเงิน” สำหรับการเกษียณ และกว่า 66% ของผู้สูงอายุ “ไม่มีสิทธิบำนาญ” จากกองทุนประกันสังคม เพราะจ่ายสมทบไม่ครบ 15 ปี

ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนชัดว่า ระบบที่มีอยู่เดิมดูแลคนส่วนใหญ่อยู่นอกระบบไม่ได้อยู่แล้ว การขยายอายุเกษียณโดยไม่ปรับโครงสร้างอื่นใด ก็เท่ากับ “ยืดเวลาความลำบากออกไปอีก 5 ปี” คนที่ไม่มีงานประจำหรือทำอาชีพอิสระก็ยังเข้าไม่ถึงระบบบำนาญอยู่ดี การให้ทำงานนานขึ้นจึงไม่ใช่คำตอบของปัญหา

ส่วนเงินสงเคราะห์ผู้สูงอายุที่รัฐจ่ายอยู่เดือนละ 600–1,000 บาท ถือว่าต่ำที่สุดในโลก ขณะที่ค่าใช้จ่ายพื้นฐานเฉลี่ยของผู้สูงอายุอยู่ราว 1,500 บาทต่อเดือน หมายความว่า แม้จะมีเงินช่วยเหลือ แต่ก็ยังไม่พอครึ่งหนึ่งของค่าครองชีพ

ทำงานต่อไม่ใช่เพราะ 'อยาก' แต่เพราะ 'ต้อง' ? 

งานวิจัยเรื่อง Planned retirement age in Thai people in aging society โดย Borinya Thongmanee จากคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (Chula Digital Collections, 2020) พบว่า กว่า 30% ของผู้สูงอายุไทยวัย 60–69 ปี ยังต้องการทำงานต่อหลังเกษียณ แต่แรงจูงใจไม่ได้มาจากความรักในอาชีพเพียงอย่างเดียว เพราะในกลุ่มข้าราชการที่ยังทำงานหลังอายุ 60 ปี มีเพียง 45% ที่ระบุว่าทำงานต่อเพราะสุขภาพแข็งแรง ส่วนอีก 40% ยอมรับว่าจำเป็นต้องทำเพราะยังต้องการรายได้ สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางทางเศรษฐกิจของผู้สูงอายุในสังคมไทยที่กำลังก้าวสู่สังคมสูงวัยเต็มรูปแบบ

ตัวเลขนี้เผยให้เห็นความจริงอันเจ็บปวดว่า “การทำงานหลังเกษียณ” สำหรับคนจำนวนมากไม่ใช่ทางเลือก แต่คือ ความจำเป็นเพื่อความอยู่รอด เมื่อระบบบำนาญไม่เพียงพอและเงินออมไม่ครอบคลุมค่าใช้จ่าย การทำงานจึงกลายเป็นกลไกหลักในการดำรงชีวิต คำถามที่ตามมาคือ หากรัฐปรับอายุเกษียณเป็น 65 ปี แล้วหลังจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อสุขภาพเริ่มถดถอยแต่รายได้ยังไม่มั่นคง คนเหล่านี้จะสามารถดำรงชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีได้อย่างไรในวัยที่ควรได้พักจริง ๆ


เมื่อภาคเอกชนต้องชั่งระหว่างต้นทุนกับความรับผิดชอบ

หากรัฐขยายอายุเกษียณข้าราชการเป็น 65 ปี ภาคเอกชนก็คงต้องปรับตาม แต่นายจ้างเองก็มีความกังวลไม่น้อย โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพของแรงงานสูงวัยที่อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพงาน และต้นทุนจากการลาป่วยระยะยาว

ในงานวิจัยเรื่อง Aging Population and Employment in Thailand: Towards Inclusive Legal Reforms โดย รองศาสตราจารย์ ดร.ปานทิพย์ พฤกษโชติวิทย์ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า กว่า 80% ของแรงงานสูงวัยในประเทศไทยไม่มีวุฒิการศึกษาระดับมัธยมปลาย ทำให้การพัฒนาทักษะใหม่ให้สอดรับกับเศรษฐกิจดิจิทัลเป็นความท้าทายสำคัญ แรงงานกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ยังคงทำงานอยู่ในภาคเกษตรกรรมและประมง ซึ่งมีรายได้ต่ำและขาดระบบสวัสดิการรองรับ ส่งผลให้ผู้สูงอายุจำนวนมากต้องเผชิญกับความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจและไม่มีหลักประกันในวัยเกษียณ

แม้ภาคธุรกิจบางแห่งเริ่มขยับ เช่น Lotus’s, Makro,  ตั้งเป้าจ้างแรงงานสูงวัยกว่า 400,000 คนภายในปี 2573 ถือเป็นสัญญาณที่ดี แต่เมื่อเทียบกับจำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ก็ยังถือว่าไม่เพียงพอ

คนรุ่นใหม่ที่รอความก้าวหน้ากำลังหนักใจ

อีกด้านหนึ่งที่รัฐอาจลืมคิด คือ ผลกระทบต่อคนรุ่นใหม่ในระบบราชการ ข้าราชการรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยแสดงความกังวลว่า การขยายอายุเกษียณอาจปิดกั้นเส้นทางความก้าวหน้า เพราะตำแหน่งระดับบนไม่ค่อยว่างอยู่แล้ว หากรุ่นพี่อยู่ต่ออีก 5 ปี ก็หมายถึงรุ่นน้องต้องรอต่ออีก 5 ปีเช่นกัน

นี่ไม่ใช่เรื่องของการแย่งงานระหว่างรุ่น แต่เป็นโครงสร้างระบบราชการที่ตันมานาน หากการเลื่อนตำแหน่งล่าช้าเกินไป คนรุ่นใหม่อาจหมดแรงจูงใจ และเมื่อถึงเวลาที่ได้ขึ้นจริง ก็อาจแก่เกินไปที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ทันเวลา

ทางออกที่ยังต้องหาคำตอบร่วมกัน

ความจริง คือ ไม่มีฝ่ายใดผิดหรือถูกทั้งหมด รัฐบาลจำเป็นต้องรับมือกับปัญหาขาดแคลนแรงงานและความยั่งยืนของกองทุนประกันสังคม ขณะที่ประชาชนก็มีสิทธิ์ที่จะได้รับระบบบำนาญที่เพียงพอ และมีทางเลือกเกษียณที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายและชีวิตจริงของแต่ละคน

การแก้ปัญหานี้ต้องมากกว่าการเพิ่มตัวเลขอายุเกษียณ มันต้องมาพร้อมการปฏิรูประบบบำนาญให้ครอบคลุมแรงงานนอกระบบ การสร้างงานที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุ ไม่ใช่แค่งานใช้แรง แต่เป็นงานที่ใช้ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญที่พวกเขามี

รัฐควรลงทุนในการพัฒนาทักษะตลอดชีวิต ไม่ใช่รอให้แก่แล้วค่อยสอนใช้คอมพิวเตอร์ แต่ต้องเริ่มตั้งแต่ยังหนุ่มสาว เพื่อสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ต่อเนื่อง ที่ทำให้คนพร้อมปรับตัวกับโลกการทำงานไม่ว่าจะอายุเท่าไร

สิ่งสำคัญที่สุดคือ ต้องเปิดพื้นที่พูดคุยอย่างจริงจังระหว่างทุกฝ่าย ไม่ใช่ตัดสินจากฝั่งเดียว แต่ต้องเข้าใจทั้งความกังวลของรัฐ นายจ้าง และประชาชน เพราะในท้ายที่สุด นี่ไม่ใช่เรื่องของนโยบายตัวเลข แต่คือ “อนาคตของคนทั้งประเทศ”

ประเทศไทยกำลังเดินหน้าเข้าสู่ยุคที่ผู้สูงอายุจะกลายเป็นคนส่วนใหญ่ของสังคม หากไม่เริ่มเตรียมวันนี้ อีกไม่กี่สิบปีข้างหน้า เราอาจต้องเผชิญปัญหาที่หนักกว่าเดิม การขยายอายุเกษียณอาจเป็นส่วนหนึ่งของทางออก แต่หากทำโดยไม่ปฏิรูประบบอื่นควบคู่ มันก็จะเป็นเพียงการ “เลื่อนวิกฤตออกไป” เท่านั้น

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง