รีเซต

SCC ลุย2โครงการใหญ่ หัวหอกหนุนโตยาว3-5ปี

SCC ลุย2โครงการใหญ่ หัวหอกหนุนโตยาว3-5ปี
ทันหุ้น
30 ตุลาคม 2563 ( 08:15 )
195
SCC ลุย2โครงการใหญ่ หัวหอกหนุนโตยาว3-5ปี

ทันหุ้น –สู้โควิด –SCC เดินหน้า 2 โครงการใหญ่หวังเป็นหัวหอกการดำเนินธุรกิจช่วง 3-5 ปีข้างหน้า พร้อมวางกลยุทธ์ซื้อกิจการเพื่อสร้างกำไรได้ทันที โชว์กำไรไตรมาส 3/2563 โต 57%จากช่วงเดียวกันปีก่อน จากการฟื้นตัวของธุรกิจเคมีคอลส์ ขณะที่ตั้งเป้ายอดขายทั้งปีจะติดลบ 9% ใกล้เคียงกับ 9 เดือนแรก

 

นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ SCC เปิดเผยว่า บริษัทยังเดินหน้า 2 โครงการใหญ่ ในธุรกิจเคมีคอลส์ ได้แก่โครงการ MOC Debottleneck ซึ่งขณะนี้มีความคืบหน้าตามแผนแล้ว 97% จะมีกำลังการผลิตโอเลฟินส์เพิ่มขึ้น 350,000 ตันต่อปี และโครงการปิโตรเคมีครบวงจร Long Son Petrochemicals Company Limited หรือ LSP ที่ประเทศเวียดนาม มีความคืบหน้าตามแผน โดยดำเนินการไปแล้วกว่า 55% ซึ่งเป็นโครงการที่จะสร้างศักยภาพการเติบโตให้กับบริษัท และจะเป็นหัวหอกหลักในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า

 

ขณะเดียวกันบริษัทได้วางกลยุทธ์ในการเข้าซื้อกิจการ เพื่อเป็นการสร้างฐานธุรกิจให้สามารถเติบโตได้ทันที และจะทำให้บริษัทสามารถรับรู้ EBITDA และกำไรได้ทันทีเช่นกัน

 

อย่างไรก็ตาม บริษัทคาดการณ์ว่ารายจ่ายลงทุนและเงินลงทุนของทั้งปี 2563 อยู่ที่ประมาณ 60,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่จากธุรกิจเคมิคอลส์ และธุรกิจแพคเกจจิ้งในด้านการลงทุน การก่อสร้างโรงงานใหม่ รวมถึงโครงการขยายกำลังการผลิตและปรับปรุงประสิทธิภาพ โดย 9 เดือนแรกของปีนี้ มีมูลค่าการลงทุนแล้วกว่า 37,298ล้านบาท สัดส่วนการลงทุนเป็นของธุรกิจเคมิคอลส์ 65%ธุรกิจแพคเกจจิ้ง 17% ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง 14% และจากส่วนงานอื่น 4%

 

*กำไร Q3 ดีกว่าคาดโต 57%

 

สำหรับผลประกอบการบริษัทมีกำไรในไตรมาส 3/2563 ที่ 9,741 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากการฟื้นตัวของธุรกิจเคมิคอลส์ที่ดีขึ้น ตามความต้องการสินค้าที่ปรับเพิ่มขึ้นในประเทศจีน และภูมิภาคเอเชีย

 

ในส่วนของยอดขายในปีนี้อยู่ที่ 100,938 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5%จากไตรมาสก่อน แต่ละลดลง 9% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งคาดว่าทั้งปี 2563 ยอดขายจะติดลบในระดับใกล้เคียง 9% เนื่องจากราคาผลิตภัณฑ์เคมีที่อ่อนตัวลง

 

บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด(มหาชน) ระบุว่ากำไรสุทธิไตรมาส 3/2563 ของ SCC ดีกว่าที่คาดไว้ราว 10% แต่ใกล้เคียงกับตลาดคาด เนื่องจากปริมาณขายสูงกว่าคาด และส่วนแบ่งกำไรธุรกิจปิโตรเคมีดีกว่าคาด ส่วนแนวโน้มกำไรปกติไตรมาส 4/2563 คาดว่าเป็นจุดต่ำสุดของปี มีแรงฉุดหลักมาจากธุรกิจเคมีภัณฑ์ ที่ปริมาณขายลดลง จากโรง MOC ปิดซ่อม 45 วัน โดยแนะนำซื้อเก็งกำไร ให้ราคาเป้าหมายของปี 2564 ที่ 369 บาทต่อหุ้น

 

นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ การเงินและการลงทุน SCCเปิดเผยว่า การที่ราคาหุ้นบริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP ราคาปรับตัวลงมาต่ำกว่าราคาไอพีโอ ต้องปล่อยให้เป็นไปตามกลไกของตลาด ขณะเดียวกันหุ้น SCGP ก็มีกรีนชูที่จะรองรับอยู่แล้ว

 

*หยุดโรงงานในเมียนมา

 

ขณะที่ล่าสุด SCC แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯว่า Mawlamyine Cement Limited หรือ MCL ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนในประเทศเมียนมา ได้หยุดการผลิตชั่วคราวตั้งแต่กลางเดือนตุลาคม 2563 เนื่องจากไม่มีหินปูน ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักที่ใช้ในการผลิตปูนซีเมนต์ สาเหตุเนื่องจากบริษัทเอสซีจี ซิเมนต์ จำกัด หรือ SCG Cement ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ถือหุ้นใน MCL มีข้อพิพาทกับ Pacific Link Cement Industry Ltd. หรือ PLCI ซึ่งเป็นบริษัทเมียนมา ทำให้ไม่สามารถเข้าฟื้นที่เหมืองปูนได้

 

หลังจากการเจรจากับ PLCI ไม่ประสบความสำเร็จในช่วงที่ผ่านมา SCG Cement ได้ยื่นคำร้องเพื่อดำเนินการระงับข้อพิพาทด้วยกระบวนการอนุญาโตตุลาการตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในสัญญาร่วมทุน และ MCL ได้รับทราบว่า PLCI ได้ดำเนินกระบวนการทางกฎหมายกับ MCL ต่อศาลประเทศเมียนมาในเวลาต่อมา ทั้งนี้ MCL ยังคงดูแลและรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้แทนจำหน่ายและลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดผลกระทบจากการขาดแคลนปูนซีเมนต์ ที่เกิดจากการหยุดผลิตเป็นการชั่วคราว

 

นอกจากนี้ SCC แจ้งเพิ่มเติมว่า บริษัทเอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ได้ลงทุนในบริษัท เอ.เจ.พลาสท์ จำกัด (มหาชน) หรือ AJ ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยเข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 40,560,773 หุ้น หรือคิดเป็น 9.22% ณ ราคาหุ้นละ 17.15 บาท คิดเป็นเงินลงทุนประมาณ 696 ล้านบาท รวมถึงได้ร่วมกับ AJ เพื่อจัดตั้งบริษัทร่วมทุน เพื่อผลิตและจำหน่ายฟิล์ม Biaxially Oriented หรือ BO Film

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง