ตกผลึกชั้นเชิง “ฮุน เซน” ปลุกชาตินิยม-วางกับดัก IO ตีตราไทยรุกราน ชงต่อไปศาลโลก ในทัศนะสถาบันปรีดี พนมยงค์

ในห้วงเวลาที่ความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชาบาดหมางมากขึ้นเรื่อย ๆ เป็นข้อเท็จจริงว่า การข่าวสารของฝั่งกัมพูชา เป็นไปในทิศทางเดียวกัน คือ “ฝ่ายไทยกำลังรุกราน” ล่วงล้ำดินแดนของกัมพูชา
ยกตัวอย่าง ข่าวล่าสุดของ Khmer Times ที่อ้างว่า กองทัพไทยส่งโดรนสอดแนมเข้าไปในพื้นที่เขาพระวิหาร พร้อมรูปทหารกัมพูชาถือโดรนสีดำลำหนึ่ง แต่ไม่มีข้อมูลเสริมใด ๆ
เหตุการณ์ปะทะนาน 10 นาที บริเวณช่องบก หรือสามเหลี่ยมมรกต พื้นที่ 12 ตารางกิโลเมตร ที่ไทยและกัมพูชาพิพาทกันมายาวนาน กลายเป็นเชื้อให้ ฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา และประธานวุฒิสภา นำมาสุมปลุกกระแสชาตินิยม ตั้งแต่วันแรกที่เกิดเหตุปะทะ มาจนถึงวันนี้
อย่างน้อย นั่นก็เป็นทัศนะที่ “สถาบันปรีดี พนมยงค์” เห็นพ้อง ในบทความ “ข้อพิพาทช่องบก: ยุทธศาสตร์ชายแดนไทย-กัมพูชา กับบทเรียนสันติภาพในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”
ทางสถาบันฯ เขียนวิเคราะห์ในบทความว่า ฮุน เซน อดีตผู้นำกัมพูชา “โชกโชน” ในการใช้การเมืองชาตินิยม จากประสบการณ์รักษาอำนาจตนเองมา 40 ปี
“แทบทุกครั้งที่รัฐบาลกัมพูชาเผชิญแรงกดดันภายในหรือมีการเลือกตั้ง สมเด็จฮุน เซน ก็มักหยิบยกประเด็นความขัดแย้งชายแดนมากระตุ้นความรู้สึกฮึกเหิมรักชาติของประชาชน สร้างภาพตนเป็นผู้พิทักษ์เอกราชไม่ยอมก้มหัวให้ชาติใด” สถาบันปรีดี พนมยงค์ วิเคราะห์
กรณีของช่องบกก็เช่นกัน ฮุน เซน ใช้การกล่าวหาผ่านสังคมออนไลน์ถึง “กลุ่มหัวรุนแรงฝ่ายไทย” “สามเหลี่ยมมรกตเป็นของกัมพูชา” “ทหารอยู่ในพื้นที่เรา ทำไมต้องถอยออกจากดินแดนตัวเอง” และอื่น ๆ อีกมาก ด้วยจุดยืนว่า เขตสามเหลี่ยมมรกตเป็นของเขมรมานานก่อน MOU43
จุดยืนด้านนี้เองที่ไทยแตกต่างจากกัมพูชาชัดเจน โดยทางสถาบันฯ วิเคราะห์ไว้ว่า
กัมพูชายึดหลัก “สถานภาพเดิม” (status quo ante) ก่อนปี 2543 กล่าวคือ อะไรที่ตนถือครองอยู่ก่อนการลงนาม MOU 2543 ก็ถือว่าเป็นของตนและสามารถอยู่ต่อได้โดยไม่ถือว่าละเมิดข้อตกลง ดังนั้นการที่ทหารกัมพูชา “ยืนหยัด” ในจุดเดิมโดยไม่มีอาวุธ จึงถูกนำมาอ้างว่าไม่ขัดกับ MOU เพราะเป็นพื้นที่ที่กัมพูชาครอบครองอยู่เดิมแต่แรก
ส่วนไทยมองว่า พื้นที่ที่ยังไม่ปักปันถือเป็น “เขตพิพาท” ซึ่งทั้งสองฝ่ายต้องงดกิจกรรมทางทหารทุกชนิด ณ บริเวณนั้น การขุดคูหรือการตั้งฐานเพิ่มเติมแม้ในจุดที่อีกฝ่ายเคยอยู่จึงเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพที่ผิดข้อตกลง และไทยย่อมมีสิทธิ์ปกป้องอธิปไตยตนเองหากมองว่ามีการรุกล้ำเกิดขึ้น
จนท้ายสุด เหตุผลต่าง ๆ เหล่านี้ของฝ่ายกัมพูชา ถูกนำมาสร้างความชอบธรรมในระบบรัฐสภา ผ่านมติให้รัฐบาลผลักดันนำข้อพิพาทกับไทยสู่ชั้นพิจารณาของศาลโลก หรือ ICJ
แต่ในระหว่างเดียวกัน รัฐบาลกัมพูชาก็พยายามควบคุมข้อมูลข่าวสาร ยกตัวอย่างการที่คนไทยเข้าเพจเฟซบุ๊กของ ฮุน เซน ไม่ได้ ซึ่งอาจมองได้ว่านี่เป็นการดำเนินยุทธวิธี IO เต็มรูปแบบ เพื่อ สร้างกระแสชาตินิยมภายใน และภาพลักษณ์ระหว่างประเทศ โดยตีตราไทยว่า กำลังรุกรานกัมพูชา
สำหรับผลลัพธ์เลวร้ายสุด สถาบันปรีดี พนมยงค์ มองว่า “อาจเป็นไทยต้องเสียดินแดนโดยผลของกฎหมาย หากแพ้คดี หรือถูกบีบให้ยอมรับสถานะของพื้นที่พิพาทตามที่อีกฝ่ายต้องการโดยปริยาย (การยอมรับโดยพฤตินัย) ด้านที่สองคือ ความเสี่ยงภายในประเทศ หากไทยไม่ตอบสนอง หรือดูอ่อนข้อเกินไป ก็อาจตกหลุมกับดักทางการเมืองภายใน เมื่อกลุ่มชาตินิยมหรือฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลหยิบยกมาโจมตีว่ารัฐบาล “เสียเชิง” ให้กัมพูชายอมเสียดินแดน เป็นต้น”
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
