ไทยย้ำ “ควบคุม” ไม่เคย “ปิดด่าน” ชายแดน ขอกัมพูชาร่วมแก้ปัญหา

จากกระแสคลิปวิดีโอไวรัลบนโซเชียลมีเดีย เผยให้เห็นถึงภาพประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา โอดครวญ หลังได้รับผลกระทบจากมาตรการที่เกิดขึ้นจากความตึงเครียดของ 2 ประเทศ โดยเฉพาะเรื่องการควบคุมเวลาเปิดปิดด่าน และยังหวั่นว่า การตัดอินเทอร์เน็ต และไฟฟ้าจะซ้ำเติมวิกฤตไปอีก
แต่ทางโฆษกกระทรวงต่างประเทศของไทย ออกมาย้ำว่า ไทยไม่เคยปิดด่าน และการตัดอินเตอร์เน็ต ไฟ ไม่ส่งน้ำมัน เป็นความพยายามในการต่อต้านแก๊งคอลเซนเตอร์เท่านั้น คนละส่วนกับเรื่องความตึงเครียดกับรัฐบาลกัมพูชา
แล้วสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างไทยและกัมพูชาจะเป็นอย่างไรต่อ ฟังบทสัมภาษณ์จาก นิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงต่างประเทศ ผ่านบทความนี้
แค่ควบคุม ไม่ใช่การปิดด่าน
ภาพความวุ่นวายบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา สะท้อนถึงผลกระทบจากมาตรการเข้าออกด่านที่เข้มงวดขึ้น
ประชาชนตกค้าง เสียงโอดครวญ ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ทำให้ชีวิตที่ขัดสนอยู่แล้ว ทุกข์เข็ญยิ่งขึ้นไปอีก
พวกเขาหวังว่า ทั้ง 2 ประเทศ จะกลับมามีความสัมพันธ์แบบเดิม
“ไทยไม่เคยปิดด่าน เรามีแต่ปรับเวลา แล้วก็กํากับจํานวนคน ดังนั้น การปิดด่านไม่มี” นิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวกับผู้สื่อข่าว TNN Online ถึงประเด็นมาตรการที่บังคับใช้
“มาตรการที่เกิดขึ้น อันนี้ รัฐบาลได้มอบให้ทางหน่วยงานความมั่นคง ซึ่งก็คือ ทหาร เป็นผู้กำหนดมาตรการเปิด-ปิดด่านชายแดน โดยมีข้อความกำกับว่า ให้สอดคล้องกับความเป็นจริงตรงสถานการณ์ชายแดน ดังนั้นการปรับเวลาเปิด-ปิด การจำกัดจำนวนคน ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ชายแดน” โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าว
ตัดอินเตอร์เน็ต-ไฟฟ้า ต้องทำ เพื่อจัดการแก๊งคอลเซนเตอร์
นอกจากมาตรการควบคุมการเปิดปิดชายแดน ที่คนส่วนใหญ่เข้าใจว่า เป็นการปิดด่าน
แล้วยังมีข่าวว่า รัฐบาลเตรียมตัดน้ำ-ตัดไฟฟ้าบริเวณชายแดนเพิ่มด้วย
ทำให้เกิดความเข้าใจว่า นี่เป็นส่วนหนึ่งของมาตรการตอบโต้กัมพูชา เรื่องดินแดนพิพาท
แต่ นิกรเดช เผยว่า มาตรการดังกล่าว เป็นเพื่อจัดการอาชญกรรมข้ามชาติเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับความตึงเครียดที่เกิดขึ้นระหว่าง 2 ประเทศ แต่เวลาของทั้ง 2 เหตุการณ์เกิดขึ้นใกล้เคียงกัน
“ผมเข้าใจนะ ที่หลายคนมองเป็นเรื่องเดียวกัน แต่ว่า เราไม่เคยมีเป้าหมายที่จะเอามาตรการเหล่านั้นไปกระทบคนกัมพูชา เราต้องการเอามาตรการเหล่านั้นไปกระทบผู้ประกอบการธุรกิจสีเทา คาสิโนเถื่อนที่อยู่ตามชายแดน คอลเซนเตอร์ สแกมเมอร์ทั้งหลาย มันได้ย้ายฝั่งจากชายแดนไทย-พม่า มาเป็นชายแดนไทย-กัมพูชา”
นิกรเดช เผยว่า ปัญหาเรื่องแก๊งคอลเซนเตอร์ที่อาศัยอยู่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ไทยคิดไปเอง เพราะมีรายงานจากทาง UNODC เผยแพร่ออกมา และไทยเองก็ได้เน้นย้ำตั้งแต่ต้นปีว่า จะจัดการอาชญากรรมข้ามชาติอย่างจริงจัง เรื่องนี้ไม่ได้กระทบแค่คนไทยเท่านั้น แต่กระทบคนทั่วโลก เพราะมีคนตกเป็นเหยื่อมากกว่า 20-30 ประเทศ
“เราไม่ได้ต้องการจะทำให้กระทบกัมพูชา ตรงกันข้ามเราต้องการบอกกัมพูชาว่า ช่วยมาร่วมมือเราหน่อย เราทำคนเดียวไม่ไหวหรอก” เขา กล่าว
เดินหน้าสร้างความเข้าใจกับประชาคมโลก แม้กัมพูชาจะยื่นเรื่องต่อศาลโลก
แม้ฝ่ายกัมพูชายืนยันเดินหน้านำเรื่องดินแดนพิพาท 4 แห่ง ยื่นฟ้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือ ICJ
พร้อมใช้การโพสต์โซเชียลมีเดียกระจายข่าวสาร ปลุกกระแสชาตินิยมสู่สายตาคนในประเทศ และนอกประเทศ จนทำให้ประเด็นนี้ อาจถูกนำเสนอบนเวทีสหประชาชาติ
ด้านโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เผยว่า อันที่จริง ไทยได้ดำเนินการคู่ขนาน สร้างความเข้าใจกับประชาคมโลกไปแล้ว ต่อกรณีกัมพูชายื่น ICJ
“เราทำเพราะ เราต้องการอธิบายให้ประชาคมระหว่างประเทศทราบข้อเท็จจริง ผมย้ำว่า ข้อเท็จจริง ว่า ประเทศไทยคิดอย่างนี้ บนหลักการอะไร เราไม่ได้อยู่ดี ๆ มาบอกไม่รับเขตอำนาจศาลโลก เราไม่รับมาตั้งแต่ปี 2503”
“การที่ประเทศหนึ่งไม่รับอำนาจศาลโลก เหตุผลหนึ่ง เพราะว่า ส่วนหนึ่งปัญหาที่มันเกิดการกระทบกระทั่งกัน มันจะต้องแก้ไขโดย 2 ประเทศที่มีส่วนได้ส่วนเสีย การที่เอาบุคคลที่ 3 เข้ามา เขาจะรู้ความต้องการของ 2 ประเทศที่มีส่วนได้ส่วนเสียได้ไม่ดีเท่าเรา ดังนั้นเราเชื่อมั่นว่า การแก้ไขแบบทวิภาคีดีที่สุด”
“การที่เราใช้กลไกทวิภาคี เราไม่ได้คิดระเบียบขึ้นมาเอง เราอิงกฎหมายระหว่างประเทศ เราไม่ได้หนีไป หรือ ใช้แนวทางที่แตกต่างจากชาวโลกเลย เราใช้กฎหมายระหว่างประเทศ เป็นหลักการหลักของเราอยู่แล้ว” นิกรเดช กล่าวย้ำ
“โซเชียลมีเดีย” เครื่องมือที่กัมพูชาใช้สื่อสาร
อีกหนึ่งประเด็นที่ความขัดแย้งรอบนี้ ได้รับความสนใจ นั่นคือ การใช้โซเชียลมีเดีย เป็นช่องทางการสื่อสารจากทางรัฐบาลกัมพูชา ที่ส่งผลต่อคนในประเทศ และต่างชาติ ให้หันมาสนใจเรื่องดินแดนพิพาทที่เกิดขึ้น จนบางครั้งเกิดเป็นสงครามข่าวสาร ที่ปะปนไปด้วยข่าวจริง และความปลอมในเวลาเดียวกัน
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า อยากขอความร่วมมือทุกท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสื่อ ในห้วงที่มีสถานการณ์ความตึงเครียด พยายามระมัดระวังในการโพสต์ที่อาจสุ่มเสี่ยงก่อให้เกิดการปลุกระดม หรือ ความตึงเครียดมากขึ้น โดยไม่จำเป็น
“การที่กัมพูชาโพสต์ข้อความต่าง ๆ ทางโซเชียลมีเดีย ผมคิดว่า อันนั้นไม่ใช่แนวทางที่เราจะทำ เราคือ รัฐบาล เราพูดมาตลอดว่า เราจะส่งข้อความที่เป็นทางการ การโพสต์เปะปะไปเรื่อย เป็นสิ่งที่เราจะไม่ทำแน่ ๆ การโพสต์ข้อความผ่านโซเชียล ไม่ใช่ช่องทางที่เป็นทางการที่ 2 ประเทศจะสื่อสารกันเลย” นิกรเดช กล่าว
นอกจากนี้ นิกรเดชยังเน้นย้ำด้วยว่า อยากประชาชนและสื่อมวลชนติดตามข่าวสารจากช่องทางที่เป็นทางการ ซึ่งตอนนี้ มีช่องทางหลักอยู่ 2 ช่องทาง ได้แก่ ศูนย์ปฏิบัติการไทย-กัมพูชา และกระทรวงการต่างประเทศ ที่จะคอยแถลงเรื่องนี้
ฉากทัศน์หลังจากนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป
เมื่อถามโฆษกกระทรวงการต่างประเทศว่า จะมีการเพิ่มมาตรการอื่นไหม หากสถานการณ์ยังคงมีความ ตึงเครียดอยู่ หรือมีแนวโน้มตึงเครียดมากขึ้น ?
นิกรเดช ตอบคำถามดังกล่าวว่า สำหรับฉากทัศน์ตอนนี้ ไทยได้เสนอทางลงแล้ว นั่นคือ เปิดประตูให้มีการเจรจาทวิภาคีหลายช่องทางมาก ๆ เพื่อลดจุดต่าง หาจุดร่วมให้เจอ ซึ่งเป็นประตูที่ทางไทยเปิดให้กัมพูชาหันมาเจรจาร่วมกันอยู่
“ถามผมว่า ฉากทัศน์จะเป็นอย่างไร มองว่า ส่วนหนึ่งมันอยู่ในขอบเขตของกัมพูชา…เรายื่นมือไปแล้ว เราบอกไปแล้วว่า เรามีช่องทางที่จะคุยได้ อยู่ 2-3 ช่องทาง ซึ่งเป็นช่องทางที่เป็นทวิภาคีทั้งสิ้น ในเรื่องของคอลเซนเตอร์ เราก็บอกไปแล้วให้มาร่วมมือกัน ถ้าไม่ร่วมมือกัน เราก็ทำได้ของเราฝั่งเดียว ซึ่งคือการตัดน้ำ ตัดไฟ ตัดอินเตอร์เน็ต ฉากทัศน์ขึ้นอยู่กับเขา” นิกรเดช กล่าว
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
