ป.ป.ช. ชูยุทธศาสตร์ “ป้องนำปราบ” เปลี่ยนสมการต้านโกง เริ่มที่ต้นทาง

คุณวริดา ตันบุญเอก เผยยุทธศาสตร์ “ป้องนำปราบ” ของสำนักงาน ป.ป.ช. คือการวางระบบป้องกันทุจริตตั้งแต่ต้นทาง เสริมด้วยเทคโนโลยี-ข้อมูล-เครือข่ายประชาชน สู่แนวทางใหม่ที่ยั่งยืน
เปลี่ยนสมการต้านโกง เริ่มที่ต้นทาง
เมื่อพูดถึงการต่อต้านการทุจริต ภาพที่คุ้นตาในสังคมไทยมักเป็นเรื่องของการจับกุมหรือดำเนินคดี แต่ในความเป็นจริง งานด้านนี้ไม่ควรถูกจำกัดอยู่แค่การจัดการเมื่อเกิดเหตุแล้ว สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. กำลังเดินหน้าปรับวิธีคิดใหม่ทั้งหมด ด้วยยุทธศาสตร์ที่เรียกว่า “ป้องนำปราบ”
คุณวริดา ตันบุญเอก ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมและบูรณาการการมีส่วนร่วมต้านทุจริต สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. อธิบายว่า แนวทางนี้ให้ความสำคัญกับการป้องกันไม่ให้เกิดการทุจริตตั้งแต่แรก มากกว่ารอให้เกิดเหตุแล้วจึงตามจัดการ ซึ่งหมายถึงการพัฒนาทั้งเชิงระบบ พฤติกรรม และกลไกภาคีเครือข่าย โดยมีทั้งมาตรการระยะสั้นและระยะยาว
ในระยะยาว สำนักงาน ป.ป.ช. พัฒนาหลักสูตร “ทุจริตศึกษา” เพื่อติดตั้งภูมิคุ้มกันในเด็กตั้งแต่วัยเรียน ขณะที่ในระยะสั้น มีการวิเคราะห์ข้อมูลคดีทุจริตย้อนหลัง เพื่อนำมากำหนดมาตรการเชิงป้องกันให้แต่ละหน่วยงานนำไปใช้จริง พร้อมจัดตั้งศูนย์ต่อต้านการทุจริตภาครัฐ หรือ ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (Corruption Deterrence Center : CDC) สำหรับดำเนินการแก้ไขปัญหาทันทีหากพบความเสียหาย โดยแยกเรื่องที่แก้ได้ออกจากเรื่องที่ต้องส่งให้ฝ่ายปราบปรามรับช่วงต่อ
หมู่เกาะสิมิลันกับบทเรียนก่อนจะสาย
กรณีของอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน ถือเป็นตัวอย่างชัดเจนของการลงมือป้องกันก่อนเกิดเหตุ สมัยที่ยังจัดเก็บค่าธรรมเนียมแบบเงินสด ป.ป.ช. ลงพื้นที่สุ่มตรวจ และพบปัญหาความล่าช้าในการรับรายได้จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่สูงขึ้น จึงเสนอให้ปรับมาใช้ระบบ e-ticket
ภายหลังปรับระบบ รายได้ของอุทยานเพิ่มขึ้นถึง 200 ล้านบาท ซึ่งชี้ให้เห็นว่าเพียงแค่เปลี่ยนระบบให้โปร่งใสขึ้น ก็สามารถจัดการความเสี่ยงได้โดยไม่ต้องเกิดคดีเสียก่อน
อย่างไรก็ตาม การใช้เทคโนโลยีไม่ได้หมายความว่าปัญหาจะหมดไปโดยอัตโนมัติ คุณวริดาระบุว่า ภายหลังการเปลี่ยนระบบยังพบผู้ประกอบการบางรายแอบแจ้งนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นคนไทย เพื่อหลีกเลี่ยงค่าธรรมเนียมที่แพงกว่า
จากนั้น ป.ป.ช. ได้ลงพื้นที่อีกครั้งเมื่อปลายเดือนเมษายน เพื่อตรวจสอบความรัดกุมของระบบ และยังพบพฤติกรรมแจ้งจำนวนผู้โดยสารที่ไม่ตรงกับความจริง จึงประสานให้อุทยานเพิ่มมาตรการยืนยันตัวตน เช่น การสแกนใบหน้า ซึ่งจะเริ่มนำร่องใน 6 แห่ง ตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคมนี้
เมื่อความล่าช้าไม่ใช่ปัญหาเท่า “จ่ายเพิ่มใต้โต๊ะ”
คุณวริดา ตันบุญเอก อธิบายว่า ปัญหาการทุจริตไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในพื้นที่ท่องเที่ยว แต่ยังรวมถึงขั้นตอนต่างๆ ที่ประชาชนและภาคธุรกิจต้องเจอเป็นประจำ โดยเฉพาะเรื่อง “การขออนุมัติ” และ “การขออนุญาต” ซึ่งเป็นกระบวนการที่มีรายงานการเรียกรับสินบนมากที่สุด
แม้ว่าไทยจะใช้เวลาพิจารณาออกใบอนุญาตสั้นกว่าหลายประเทศ เช่น เวียดนามใช้เวลาราว 90 วัน ขณะที่ไทยใช้ประมาณ 67 วัน แต่ในทางปฏิบัติ นักลงทุนหลายรายยังเลือกเวียดนาม เพราะค่าใช้จ่ายนอกระบบในไทยกลับสูงกว่า ทั้งที่กระบวนการเร็วกว่าก็ตาม
ปัญหาที่ถูกแจ้งเข้ามาไม่ได้มีแค่เรื่องใบอนุญาตเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงการจัดการขยะ เหมืองแร่ที่ไม่ได้รับอนุญาต ไปจนถึงการจัดเก็บรายได้จากงานเทศกาลต่างๆ ซึ่งล้วนมีความเกี่ยวข้องกับเงินของรัฐหรือผลประโยชน์ของส่วนรวม
ปกป้องผู้แจ้งเบาะแส เสริมเกราะให้ประชาชนร่วมต้านโกง
หนึ่งในหลักการสำคัญของยุทธศาสตร์ “ป้องนำปราบ” คือการดึงภาคประชาชนเข้ามามีบทบาทอย่างแท้จริง
คุณวริดาระบุว่า ประชาชนคือผู้รู้ ผู้เห็น และอยู่ในพื้นที่มากกว่าหน่วยงานรัฐ จึงมีศักยภาพสูงในการเป็น “หูตา” ให้กับระบบ โดยสามารถแจ้งเบาะแสผ่านสายด่วน 1205 เว็บไซต์สำนักงาน หรือสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดได้ตลอดเวลา
เพื่อให้ระบบการแจ้งเบาะแสมีความมั่นใจและปลอดภัยมากขึ้น สำนักงาน ป.ป.ช. ได้ผลักดันกฎหมายใหม่ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 6 มิถุนายน 2568 โดยเนื้อหาสำคัญคือการคุ้มครองผู้แจ้งข้อมูลทุจริตจากการถูก “ฟ้องปิดปาก” ซึ่งเป็นการฟ้องคดีทางแพ่งหรืออาญาเพื่อข่มขู่ให้ผู้แจ้งหยุดให้ข้อมูลหรือถอนเรื่องร้องเรียน
ผู้ที่ตกเป็นเป้าหมายของการฟ้องลักษณะนี้ มักเผชิญกับแรงกดดันทั้งด้านกฎหมายและค่าใช้จ่าย ป.ป.ช. จึงเปิดช่องทางให้สามารถขอรับความช่วยเหลือจากกองทุนของสำนักงาน เช่น การสนับสนุนค่าทนายความในการต่อสู้คดี โดยเฉพาะในกรณีที่ถูกฟ้องในข้อหาหมิ่นประมาทจากการให้ข้อมูลตามความเป็นจริง
มาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนว่า หากพบเห็นการทุจริตและกล้าออกมาแจ้งข้อมูล จะไม่ต้องเผชิญกับแรงตีกลับทางกฎหมายเพียงลำพัง พร้อมตอกย้ำว่าการแจ้งเบาะแสที่สุจริตและสุจริตใจ คือ สิ่งที่กฎหมายให้การคุ้มครองเต็มที่
ประชาชน คือ ปราการแรก ป้องกันโกง ก่อน ต้องตามจับ
คุณวริดา ตันบุญเอก ย้ำว่า หัวใจสำคัญของการป้องกันการทุจริตคือ “ประชาชน” เพราะคนในพื้นที่คือผู้รู้ ผู้เห็น และอยู่ใกล้เหตุการณ์มากที่สุด การที่เจ้าหน้าที่รัฐรู้ว่ากำลังถูกจับตามองจากชุมชน จึงกลายเป็นกลไกควบคุมเชิงสังคมที่ทรงพลัง ซึ่งช่วยลดโอกาสการทุจริตลงได้โดยไม่ต้องรอให้เกิดคดีใหญ่ก่อนทุกครั้ง
ป.ป.ช. พร้อมตรวจสอบทุกข้อมูลที่ประชาชนส่งเข้ามาอย่างเป็นธรรม โดยยึดหลักความโปร่งใส และเปิดให้สังคมมีสิทธิ์ติดตามได้ หากพบเห็นพฤติกรรมที่เข้าข่ายไม่ชอบมาพากล ประชาชนสามารถแจ้งเบาะแสผ่านสายด่วน 1205 เว็บไซต์ หรือสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดได้ตลอดเวลา เพราะการต่อต้านคอร์รัปชันไม่ใช่ภารกิจเฉพาะของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง แต่เป็นภารกิจร่วมที่ต้องอาศัยพลังของทุกภาคส่วนในสังคม
ท้ายที่สุด คุณวริดาย้ำว่า เป้าหมายของการต่อต้านการทุจริตไม่ควรจำกัดอยู่เพียงการเอาผิดผู้กระทำผิดในอดีต แต่ต้องมุ่งสร้างสภาพแวดล้อมทางสังคม ระบบราชการ และวัฒนธรรมองค์กร ที่ทำให้การทุจริตเกิดได้ยากขึ้นในอนาคต
การเปลี่ยนผ่านจากแนวทาง “จับก่อน สั่งสอนทีหลัง” ไปสู่แนวคิด “สอนก่อน เพื่อลดคดี” อาจไม่ใช่สิ่งที่เห็นผลชัดในระยะสั้นหรือดึงดูดความสนใจเท่าข่าวการจับกุม แต่เป็นการวางรากฐานให้ประเทศสามารถพัฒนาไปข้างหน้าอย่างมั่นคง โดยไม่ถูกกัดกร่อนจากโครงสร้างที่บิดเบี้ยวซ้ำแล้วซ้ำเล่า
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
