รีเซต

ฮุน มาเนต ในชุดทหารตรวจความพร้อมแนวหน้า แค่สร้างภาพลักษณ์ หรือ มีนัยยะทางทหาร

ฮุน มาเนต ในชุดทหารตรวจความพร้อมแนวหน้า แค่สร้างภาพลักษณ์ หรือ มีนัยยะทางทหาร
TNN ช่อง16
24 มิถุนายน 2568 ( 16:00 )
12

ทำไม "ฮุน มาเนต" นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ถึงต้องสวมเครื่องแบบทหาร

เดินทางเข้าตรวจเยี่ยมทหารแนวหน้า บริเวณชายแดนติดไทย ที่จังหวัดพระวิหาร?

ในขณะที่สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา กำลังตึงเครียดมากขึ้น

มาตรการตอบโต้ทางการทหารจากทั้งสองฝ่ายเริ่มขยับอย่างเงียบ ๆ


แม้ฮุน มาเนต จะบอกว่า กัมพูชาไม่ต้องการให้เกิดการสู้รบ

แต่ถ้อยคำหนึ่งที่เขาพูดไว้ในการเปิดประชุมการประชุม UYFC ก่อนลงพื้นที่ชายแดน กลับชวนให้ขบคิด

 “กัมพูชาเหมือนงูที่สงบนิ่ง... แต่พร้อมฉกกัด อันตรายถึงตาย”

เขาย้ำว่า กองทัพกัมพูชาสามารถตอบโต้รถถังและเครื่องบินได้ แม้จะไม่มีอาวุธประเภทนั้นก็ตาม



รองศาสตราจารย์ ปณิธาน วัฒนายากร  นักวิชาการอิสระ เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ วิเคราะห์ท่าทีของ “ฮุน มาเนต”  ซึ่งได้เผยแพร่ภาพของตัวเองใส่ชุดทหารเข้าตรวจความพร้อมทหารแนวหน้า และ เยี่ยมประชาชนที่ศูนย์อพยพ จ.พระวิหาร ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับ อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษของไทย ว่าถือเป็นการ ส่งสัญญาณทางการทหาร ที่มีนัยยะลึกซึ้ง ไม่ใช่แค่แสดงออกเชิงสัญลักษณ์

“การที่กัมพูชาเดินเกมทหารอย่างเปิดเผย ไม่ได้เป็นเพียงการแสดงแสนยานุภาพเชิงสัญลักษณ์ แต่เป็นการส่งสัญญาณที่มีนัยสำคัญว่าพร้อมรับมือกับฝ่ายตรงข้ามเจากความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นอย่างจริงจัง”

รศ.ปณิธาน ให้ข้อมูลว่าทหารกัมพูชาดำเนินนโยบายเชิงรุกในทางยุทธวิธี โดยเคลื่อนกำลังเข้าพื้นที่ชายแดนพร้อมอาวุธอย่างต่อเนื่อง มีทั้งปืนใหญ่ 155 และ 122 มม. รถถัง รถหุ้มเกราะ รถยิงจรวดหลายหัวของรัสเซียและของเช็กโกสโลวาเกีย รถขนกระสุน จรวดต่อต้านอากาศยาน KS-1A KS-1C ของจีน เป็นต้น ทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นการสถาปนา "แนวต้านใหม่" หรือ "เขตกันชน" ทางยุทธวิธี 

แม้การจัดอันดับด้านการทหารของ Global Fire Power 2025 จะรบุให้กัมพูชาอยู่ในอันดับท้ายสุดของชาติอาเซียน ขณะที่ไทยอยู่ในอันดับ 3 แต่ในมุมมองชองนักวิชาการด้านความมั่นคงชี้ว่า แม้ฝ่ายกัมพูชา ศักยภาพโดยรวมด้อยกว่าไทย แต่เขา มีในขณะนี้กองกำลังกัมพูชามีความพร้อมสูงกว่าเรา เพราะมีการเตรียมยุทธวิธีมาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ไทยยังไม่มีการยกระดับเข้าสถาปนากำลังตามแนวบรบตะเข็บชายแดน เพราะต้องรอไฟเขียวจากหน่วยเหนือตามขั้นตอน

นอกจากนี้ยังประเมินว่ากัมพูชาค่อนข้างมีความมั่นใจว่าการปะทะกันกับไทยจะไม่ห่างชั้นเหมือนในศึกพระวิหารปี 2554 ซึ่งกองทัพกัมพูชาได้รับความสูญเสียมากกว่าไทยไม่ต่ำกว่า 10 เท่า 

“กองทัพกัมพูชาติดตามความเคลื่อนไหวของกองทัพไทยมาโดยตลอด เพื่อหาวิธีรับมือ ประกอบกับมีการเสริมยุทโธปกรณ์อย่างต่อเนื่องทำให้มีความมั่นใจว่าหากเกิดการเผชิญหน้าความสูญเสียจะไม่เท่ากับศึกในครั้งก่อน ซึ่งหากรบจริง ฝ่ายกัมพูชาอาจได้รับความเสียหายมากกว่า แต่ฝ่ายไทยจะสูญเสียมากขึ้นกว่าที่คิด เพราะกัมพูชามีการเตรียมตัวอย่างยาวนาน โดยมีไทยเป็นเป้าหมายที่ชัดเจน ขณะที่การสู้รบจะถูกเปลี่ยนเป็นการสร้างความชอบธรรมให้กับกัมพูชาในเวทีระดับนานาชาติ” รศ.ปณิธาน ระบุ 


อีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจคือการวางยุทธศาสตร์ระยะยาวของกัมพูชา โดยเฉพาะตัวของ พล.อ.ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชาคนปัจจุบัน ที่มีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสหรัฐอเมริกา และเข้าใจแนวทางการต่อสู้ของกองกำลังขนาดเล็กกับกองทัพขนาดใหญ่ 

“กัมพูชาอาจมองตัวเองแบบเดียวกับกลุ่มฮูตีในตะวันออกกลาง เขาไม่จำเป็นต้องชนะ แต่แค่ลดความเสียเปรียบลง และเมื่อมีการปะทะกันเกิดขึ้นก็มีเหตุผลเพียงพอที่จะเดินหน้าในเวทีโลก”

ทั้งนี้นักวิชาการมองว่าไทยสามารถลดความเสี่ยงในการปะทะกันได้ หากมีการจัดวางกำลังอย่างเข้มข้นตามแนวรบ เป็นการแสดงกำลังเพื่อข่มขวัญฝั่งตรงข้าม เสมือนเป็นการชนะศึกโดยไม่ต้องรบจริง โดยต้องดำเนินการควบคู่กับการกดดันทางเศรษฐกิจ และ การแร่งเดินเกมทำควมเข้าใจที่ถูกต้องในระดับนานาชาติ  เพื่อเป็นการปิดเกมของฝั่งกัมพูชาที่เดินหน้าด้วยยุทธศาสตร์ 3 ง่าม ซึ่งประกอบด้วยบทบาทของผู้นำ บทบาททางทหาร และบทบาทในเวทีโลกควบคู่กันมาโดยตลอด 

จากสัญญาณของผู้นำกัมพูชา จึงเป็นความเคลื่อนไหวที่น่าจับตา และ ไม่ควรประมาท แต่กลับกันนี่คือช่วงเวลาที่ต้องวางเกมอย่างรอบคอบ พร้อมทำให้ฝ่ายตรงข้ามเห็นว่าการรุกล้ำจะทำให้เขา “เสียหายมากกว่าที่คิดไว้” และการเงียบของไทย ไม่ได้แปลว่าเราไม่พร้อมรบ

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง