ตัดเน็ต-ตัดไฟ-ปิดด่าน ยาแรงไทยตอบโต้กัมพูชา จัดการสแกมเมอร์-คอลเซ็นเตอร์ ได้ผล?

ไทยเริ่มทำสงครามปราบอาชญากรรมออนไลน์อย่างจริงจังแล้ว แล้วได้ผลมากแค่ไหน

ไม่นานมานี้ UNODC เผยรายงานชี้ว่า กัมพูชาเป็นศูนย์กลางสแกมเมอร์ของชาติลุ่มแม่น้ำโขง และมีรายงานประเมินว่า อุตสาหกรรมสแกมเมอร์กัมพูชา มีมูลค่าถึง 620,000 ล้านบาท 

สิ่งที่ไทยทำ ตามข้อมูลของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม คือการตัดไฟ ตัดน้ำ ตัดอินเทอร์เน็ต และตัดไฟฟ้า 

ผลลัพธ์คือ อาชญากรรมไซเบอร์ลดลงถึง 80% แต่นี่เป็นเพียงผลลัพธ์จากการสกัดกั้นฝั่งตะวันตกของไทย หรือเมียนมา 

แต่ฝั่งตะวันออก คือกัมพูชา กำลังเริ่มขึ้นและเห็นผล

มาตรการควบคุมการเปิด-ปิดด่าน ของไทยกัมพูชา ที่เริ่มตั้งแต่ 7 มิถุนายน เป็นสิ่งที่รัฐบาลไทยชี้ว่า ช่วยลดสถิติการสแกมเมอร์ในทุกรูปแบบ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น

รัฐบาลอ้างอิงรายงาน ของ UNODC หรือ สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ ที่ชี้ว่า จากเดิมขบวนการจะอยู่ในฝั่งเมียนมา แต่ตอนนี้ เคลื่อนไปยังฝั่งตะวันออกของไทย หรือกัมพูชา แทนนั่นเอง 

การสกัดกั้นของฝั่งไทยจึงมีความสำคัญมาก ยกตัวอย่าง สารคดีของ แชนแนล นิวส์ เอเชีย ที่ชี้ว่า แม้ไทยจะไม่ได้เป็นฐานปฏิบัติการของขบวนการสแกมเมอร์ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ไทยเป็นเสมือนช่องทางผ่าน และล่อลวงเหยื่อข้ามพรมแดนไปยังเมียนมา กัมพูชา และ สปป.ลาว 

ดังนั้น การควบคุมเปิดปิดด่าน และสกัดไม่ให้นักท่องเที่ยวข้ามไปกัมพูชา จึงแสดงผลได้ในทันที

ข้อมูลจากกองบัญชาการกองทัพไทย ชี้ว่า คดีค้ามนุษย์และสแกมเมอร์ เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน อยู่ที่ 1,515 คดี แต่เมื่อบังคับใช้มาตรการในวันที่ 8 มิถุนายน คดีลดลงเหลือ 898 คดี หรือลดถึง 31.45% 

ผลลัพธ์เหล่านี้ ทำให้นายกรัฐมนตรีเรียกประชุมและเดินหน้ากำหนดให้การปราบคอลเซ็นเตอร์ สแกมเมอร์ และพนันออนไลน์ เป็นนโยบายแห่งชาติ 

เพราะมาตรการเดิม ๆ อาจใช้ไม่ได้ผลตลอดไป เพราะรัฐบาลเริ่มเห็นรูปแบบที่พยายามหลบเลี่ยง อาทิ คนไทยส่วนหนึ่ง ที่เคยเดินทางเข้าออกด้วยบัตรผ่านแดน หลบเลี่ยงไปใช้วิธีทำพาสปอร์ตและเดินทางโดยเครื่องบินไปยังสนามบินเมืองใกล้เคียงเช่นเสียมราฐ พนมเปญ และจะมีขบวนการเหล่านี้ไปรับถึงสนามบินให้กลับมาทำงานตามชายแดน เป็นต้น