รีเซต

"ก.ล.ต." จ่อขยายผล อายัดหุ้น "BCP" หมื่นล้าน เช็คบิลเครือข่าย “ยิม เลียก-เบน สมิธ”

"ก.ล.ต." จ่อขยายผล อายัดหุ้น "BCP" หมื่นล้าน เช็คบิลเครือข่าย “ยิม เลียก-เบน สมิธ”
TNN ช่อง16
4 ธันวาคม 2568 ( 09:34 )

กรณีสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) มีคำสั่งในการยึด และอายัดทรัพย์คดีที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดเครือข่ายผู้กระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยีในขบวนการสแกมเมอร์ (scammer) ซึ่งมีลักษณะเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติในคดีสำคัญ “ยิม เลียก-เบน สมิธ” ซึ่งรวมทั้งหุ้นใหญ่ใน บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น [BCP]

นายเอนก อยู่ยืน รองเลขาธิการ และโฆษก ก.ล.ต. กล่าวว่า “กรณีที่ ปปง. มีการยึดและอายัดทรัพย์เครือข่ายผู้กระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ก.ล.ต. ได้ประสานส่งหนังสือถึง ปปง. เพื่อขอข้อมูลสำคัญที่จำเป็นต่อการปฏิบัติงานในด้านการตรวจสอบและกระบวนการบังคับใช้กฎหมาย โดยข้อมูลดังกล่าวจะถูกนำมาใช้ประกอบการพิจารณาดำเนินการตามกรอบกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ ก.ล.ต. ต่อไป

ทั้งนี้ ก.ล.ต. ยังมีการตรวจสอบขยายผลไปยังกรณีอื่น ๆ ที่มีความเกี่ยวเนื่องกัน โดยการดำเนินงานจะเป็นไปตามหลักกฎหมายอย่างเคร่งครัด และพร้อมร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรวมถึงการประสานงานกับผู้ประกอบธุรกิจภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. เพื่อให้กระบวนการบังคับใช้กฎหมายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งหากดำเนินการแล้วเสร็จหรือมีความคืบหน้าเพิ่มเติม จะเปิดเผยให้สาธารณชนได้รับทราบต่อไป

ด้านบมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น [BCP] ยืนยันว่าไม่เคยได้รับการติดต่อจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) หรือ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อตรวจสอบตามที่มีรายงานข่าวว่า ก.ล.ต.และ ปปง.ตรวจสอบบริษัทจดทะเบียน 7 บริษัทเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลผู้ถือหุ้นรายใหญ่ การรายงานการเปิดเผยข้อมูลการออกหรือเสนอขายหลักทรัพย์ และ การเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการ เนื่องจากมีความเชื่อมโยงกับคดีขบวนการสแกมเมอร์ข้ามชาติ

ทั้งนี้ BCP ระบุว่า ข่าวดังกล่าวเป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ และไม่ได้เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจของบริษัทแต่อย่างใด ซึ่งบริษัทขอยืนยันหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Good Corporate Governance) และความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจ รวมถึง การเปิดเผยข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วน และเป็นปัจจุบันให้แก่ผู้ถือหุ้นและนักลงทุน โดยบริษัทดำเนินการด้วยความระมัดระวังตามหลักธรรมาภิบาลและปฏิบัติตามกฎหมายและข้อกำหนดที่เกี่ยวข้อง

ตามข้อมูลที่บริษัทได้เปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นล่าสุด เมื่อวันที่ 1 ก.ย.68 บริษัท อัลฟ่า ชาร์เตอร์ด เอนเนอร์จี จำกัด ถือหุ้นในบริษัทฯ ที่ 20.1% เป็นการเข้าซื้อหุ้นผ่านตลาดหลักทรัพย์ที่มีกฎเกณฑ์และการกำกับดูแลจากทั้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และ ก.ล.ต. บริษัทได้สอบถามข้อมูลไปยังผู้ถือหุ้นรายดังกล่าว ซึ่งได้ให้ข้อมูลตอบกลับมา

และต่อมาบริษัทได้เปิดเผยข้อมูลดังกล่าวในแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (แบบ 69/247-1) ส่วนที่ 1 ข้อ 3.2 หน้า 3-4 ที่ได้รับอนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์จาก ก.ล.ต. เมื่อวันที่ 16 ต.ค.68 และเปิดเผยผ่านทางเว็บไซต์ของ ตลท.เมื่อวันที่ 21 ต.ค.68 โดยบริษัทได้รับข้อมูลเกี่ยวกับโครงสร้างการถือหุ้นและอำนาจควบคุมของผู้ถือหุ้นรายดังกล่าว จากกรรมการผู้มีอำนาจลงนามของบริษัท อัลฟ่า ชาร์เตอร์ด เอนเนอร์จี จำกัด ซึ่งบุคคลดังกล่าวได้ยืนยันต่อบริษัทว่าเป็นข้อมูลที่ถูกต้องและตรงต่อความเป็นจริง

อย่างไรก็ดี บริษัทไม่ได้นิ่งนอนใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คณะกรรมการบริษัทตระหนักถึงความกังวลใจของนักลงทุนและผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย จึงมีมติให้จัดตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจ ประกอบด้วยคณะกรรมการบริษัทที่เป็นอิสระและกรรมการที่ไม่มีส่วนได้เสีย ซึ่งมีหน้าที่ในการพิจารณาและให้ความเห็นเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อบริษัทฯ และเสนอแนะแนวทางการดำเนินงานที่เหมาะสมในการป้องกัน

รวมถึงแก้ไขปัญหาดังกล่าว ทั้งในส่วนของมาตรการเร่งด่วนเพื่อบรรเทาผลกระทบในระยะสั้น และการแก้ไขปัญหาในระยะยาวอย่างยั่งยืน ตลอดจนให้คำแนะนำต่อคณะกรรมการบริษัทในการปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามหลัก Fiduciary Duty เพื่อรักษาผลประโยชน์ของบริษัทฯ และผู้ถือหุ้น ตลอดจน เสริมสร้างความเชื่อมั่นและความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย

คณะกรรมการชุดนี้จะให้ความร่วมมือกับ ก.ล.ต. และ ป.ป.ง. เพื่อให้มั่นใจว่าบริษัทฯ มีมาตรฐานสูงสุดในการกำกับดูแลกิจการที่ดี บริษัทขอยืนยันว่าจะใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Good Corporate Governance) ที่บริษัทฯ ยึดมั่นมาโดยตลอด

ขณะที่แหล่งข่าววงการโบรกเกอร์ ระบุว่า ประเด็นดังกล่าวเป็นเรื่องของผู้ถือหุ้น ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องเชิงพื้นฐานหรือการดำเนินงานของบริษัท อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปแล้วหากมีการอายัดหุ้นเหล่านั้นจะไม่สามารถซื้อขายหรือโยกย้ายได้ ทำให้ไม่มีแรงขายออกมาในตลาด ซึ่งท้ายที่สุดหากมีความผิดหุ้นเหล่านั้นจะถูกยึดเป็นทรัพย์สินของรัฐบาล

ขณะเดียวกัน บล.โกลเบล็ก ระบุว่า ในช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาราคาหุ้น BCP มีความผันผวนสูงมาก โดยร่วงลงไปแตะระดับ 25.0 บาท ก่อนจะฟื้นตัวกลับมาที่แถว 27 บาท เนื่องจาก 2 สาเหตุหลัก ได้แก่ การขายหุ้นของกลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ผู้ถือหุ้นรายใหญ่บางรายของ BCP ได้ทำการขายหุ้นออกมาก่อนการสวอปหุ้น (Share Swap) ในอัตรา 6.5 หุ้น BSRC ต่อ 1 หุ้น BCP หลังจากการเพิกถอน (Delisting) หุ้น BSRC เพื่อพยายามรักษาสัดส่วนการถือหุ้นให้ใกล้เคียงเดิม รวมทั้งความกังวลการเข้าครอบงำกิจการ (Takeover)ของผู้ถือหุ้นบางรายได้สร้างความกังวลต่อราคาหุ้น BCP

หลังการแลกหุ้น BSRC สิทธิในการเสนอขายหุ้น (Tender) เพื่อแลกหุ้นของผู้ถือหุ้น BSRC ในอัตรา 6.5 หุ้น BSRC ต่อ 1 หุ้น BCP ได้สิ้นสุดลงแล้วเมื่อวันที่ 27 พ.ย.และวันที่ 11 ธ.ค.จะเป็นวันซื้อขายสุดท้ายของหุ้น BSRC เราเชื่อว่าหุ้นส่วนใหญ่จำนวน 631.9 ล้านหุ้น (คิดเป็น 18.3% ของจำนวนหุ้น BSRC ที่เหลือทั้งหมดในตลาด ซึ่งไม่ได้ถือโดย BCP) จะถูกนำมาแลกเปลี่ยนเป็นหุ้น BCP จำนวน 97.2 ล้านหุ้น ซึ่งจะส่งผลให้จำนวนหุ้น BCP ที่หมุนเวียนอยู่เพิ่มขึ้น 7% เป็น 1,474.2 ล้านหุ้น

เมื่อวันที่ 26 พ.ย.68 BCP ได้ประกาศโครงการซื้อหุ้นคืน (Share Buyback) เป็นเวลา 3 ปี รวมมูลค่า 3 พันล้านบาท โดยจะเริ่มซื้อคืนในเฟสแรกมูลค่า 1.1 พันล้านบาท เพื่อซื้อหุ้นคืนสูงสุด 29.5 ล้านหุ้น ในช่วงวันที่ 16 ธ.ค.68 ถึง 15 มิ.ย.69 ซึ่งหมายถึงราคาซื้อคืนที่ 37 บาทต่อหุ้น

อย่างไรก็ตาม การที่ราคาหุ้น BCP ปรับตัวลงอย่างรวดเร็วเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งเกิดจากความกังวลเรื่องการสวอปหุ้นและความเกี่ยวข้องกับประเด็นการเข้าครอบงำกิจการ ได้บดบังปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของ BCP ทั้งในด้าน GRM ที่อยู่ในระดับสูง (คาดการณ์ $10-12/bbl$ ในไตรมาส 4/68) การเติบโตของกำไรจากธุรกิจไฟฟ้า

รวมถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับจากการซื้อหุ้นคืนของ BCP ไม่มีผลกระทบต่อกำไรต่อหุ้น (EPS) อย่างมีนัยสำคัญ เราเชื่อว่าตลาดมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับผลกระทบของการสวอปหุ้น BSRC เป็นหุ้น BCP ซึ่งเราประเมินว่าจำนวนหุ้น BCP ที่เพิ่มขึ้นจะมีเพียง 7% (97.2 ล้านหุ้น) เท่านั้น ไม่ใช่จำนวนหุ้นทั้งหมดของ BSRC ที่ถูกสวอปเข้ามา

นอกจากนี้ เรามองว่ากำไรของ BSRC ในไตรมาส 4/68 และปี 69 จะแข็งแกร่งจาก GRM ที่สูง และอัตราการใช้กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นสู่ระดับเกิน 90% เนื่องจากประสิทธิภาพการดำเนินงานที่ดีขึ้นและภาวะตลาด GRM ที่แข็งแกร่ง ซึ่งจะช่วยให้ BSRC สามารถเดินเครื่องโรงกลั่นได้ในระดับการผลิตที่สูงขึ้นระยะสั้นคลุมเครือ แต่ระยะกลางสดใส

เรายังคงมุมมองเชิงบวกต่อ BCP และคงราคาเป้าหมายที่ 41 บาท เชื่อว่าภายใน 3-6 เดือนข้างหน้าราคาหุ้น BCP จะกลับมาสะท้อนปัจจัยพื้นฐานที่แท้จริง ซึ่งปัจจุบันอาจถูกบดบังด้วยความกังวลระยะสั้นเกี่ยวกับผลกระทบของการสวอปหุ้น BSRC และโครงสร้างผู้ถือหุ้นที่คลุมเครือ ซึ่งน่าจะคลี่คลายลงเมื่อข้อเท็จจริงถูกเปิดเผย และช่วยคลายความกังวลของนักลงทุนได้ในที่สุด

ข่าวที่เกี่ยวข้อง