ถอดรหัส "ประชาธิปไตยเกาหลี" มีดีอะไร ? ไทยจะเรียนรู้อะไรได้บ้าง ?

ครบรอบ 1 ปี ข่าวใหญ่ในเกาหลีใต้ กับการพยายามประกาศกฎอัยการศึกของอดีต ปธน.ยุน ซอกยอล ซึ่งนำมาสู่การปีนรั้ว บุกเข้าสภาของเหล่า สส. โหวตยกเลิกกฎอัยการศึกภายในไม่กี่ชั่วโมง การประท้วงของประชาชน และมติการถอดถอนประธานาธิบดีของศาลรัฐธรรมนูญ จนมาสู่การเลือกตั้งใหม่
แต่เหตุการณ์ที่ถือว่าสั่นสะเทือนประชาธิปไตยเกาหลีใต้ในวันนั้น ก็สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของประชาธิปไตยในประเทศนี้เช่นกัน ที่สามารถสกัดกั้นการรัฐประหารได้อย่างรวดเร็ว จนคนไทยอดไม่ได้ที่จะมอง และเปรียบเทียบกับบ้านเรา พร้อมทั้งมักพูดว่า อิจฉาเกาหลีใต้ ที่พัฒนานำหน้าเราไปหลาย 10 ปี โดยเฉพาะเรื่องการเป็นประชาธิปไตย
แล้วคนเกาหลีจริงๆ เขามองประชาธิปไตยในประเทศตัวเองอย่างไรบ้าง หลังผ่านวิกฤตการเมืองครั้งใหญ่มาได้ เต็ม 10 คะแนน เขาจะให้คะแนนประชาธิปไตยกันเท่าไหร่ และอะไรทำให้ประชาธิปไตยของประเทศนี้ ที่พัฒนาเต็มใบหลังช่วงทศวรรษที่ 1980 เข้มแข็งถึงทุกวันนี้ ?
ประชาธิปไตยเกาหลีใต้ ที่ไม่ได้ได้มาง่ายๆ แต่แลกมาด้วยเลือดเนื้อประชาชน
ก่อนอื่น คงต้องเล่าถึงประชาธิปไตยเกาหลีก่อนว่า หลังประเทศเกาหลีถูกแบ่งเป็นสองส่วน และฝั่งใต้สถานปนาเป็นสาธารณรัฐเกาหลีในปี 1948 เกาหลีเหนือและใต้ยังคงมีการสู้รบกัน ก่อนจะมีการลงนามสงบศึกในปี 1953
เกาหลีใต้ได้มีการปกครองแบบประชาธิปไตยทุนนิยม มีการเขียนรัฐธรรมนูญ และเลือกตั้งประธานาธิบดี แต่ถึงอย่างนั้นเกาหลีใต้ก็ยังคงมีวิกฤตทางการเมือง จนเกิดรัฐประหารครั้งแรกในปี 1960 เรียกได้ว่าเปิดทางให้เผด็จการนำสู่การปกครองของทหารยาวนานหลายสิบปี
ขอข้ามมาจนถึงช่วงทศวรรษ 1980 เลย ที่ขบวนการเรียกร้องประชาธิปไตยเริ่มเกิดขึ้น จนกลายเป็นการประท้วง และการสังหารหมู่ที่กวังจูในปี 1980 มาสู่ขบวนการเรียกร้องประชาธิปไตยในปี 1987 ที่ประชาชนเข้าร่วมกว่า 4-5 ล้านคนทั่วประเทศ มีการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ ที่เป็นรากฐานประชาธิปไตยของประเทศ และไม่ถูกฉีกอีกเลยจนถึงปัจจุบัน ทั้งยังพัฒนาจนกลายเป็นประชาธิปไตยเต็มใบภายหลังเหตุการณ์นี้
ซึ่งถ้านับการมีรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ปี 1987 นั้น ก็ผ่านมา 38 ปีแล้ว กับการพัฒนาประชาธิปไตยของประเทศนี้ แต่ชาวเกาหลีใต้หลายคนก็ยังคงมาว่า ประชาธิปไตยในประเทศนี้ ก็ยังมีเส้นทางให้พัฒนาต่อไป
หากต้องให้คะแนนประชาธิปไตย เต็ม 10 ชาวเกาหลีให้เท่าไหร่กัน ?
โดยจากการคุยกับชาวเกาหลีใต้ทั้งหมด 7 คน คนที่ให้คะแนนสูงที่สุดคือ 9 คะแนน และต่ำที่สุดคือ 5 คะแนน โดย เยอึน (นามสมมติ) ผู้ให้ 5 คะแนนนั้นมองว่า แม้ว่าหลังการประกาศกฎอัยการศึกของ อดีต ปธน.ยุน จะทำให้คนออกมาประท้วงเป็นจำนวนมาก และแสดงถึงสำนึกของประชาธิปไตย แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็รู้สึกว่า มีคนจำนวนมากเช่นกันที่ไม่ได้สนใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
“ในสาขาที่ฉันทำงาน ฉันใช้เวลากับคนหนุ่มสาวจำนวนมาก และก็พบว่ามีเยาวชนที่มีมุมมองขวาจัดจำนวนมากเช่นกัน เนื่องจากวัยรุ่นเกาหลีอยู่ภายใต้ความเครียดอย่างมากจากการสอบ การศึกษา พวกเขาจึงหมกมุ่นอยู่กับสถานการณ์โดยรวมของสังคมและการเมือง และความสนใจของพวกเขา เป็นไปในทางขวาจัดนิดหน่อย หรือตรรกะบนอินเทอร์เน็ตของพวกเขาก็ทำให้มันรุนแรงขึ้น” ซึ่งนี่เป็นต่างเป็นเหตุผลให้เธอให้เพียงแค่ 5 คะแนน
ขณะที่ดาฮยอน (นามสมมติ) ที่ให้ 6 คะแนนนั้น มองว่า ในตอนที่อดีต ปธน.ยุนถูกระงับกฎอัยการศึกด้วยอำนาจของประชาชนนั้น เธอคิดว่าประชาธิปไตยของเกาหลีใต้อยู่ในเกณฑ์ที่สูงมาก
“แต่เมื่อดูผลการเลือกตั้งประธานาธิบดี (รอบที่ยุน ซอกยอลชนะ) ฉันก็คิดอีกครั้งว่าความตระหนักรู้ในประชาธิปไตยนั้นไม่สูงนัก โดยพิจารณาจากการกระทําของฝ่ายขวาจัดในช่วงการเลือกตั้งประธานาธิบดี และอิทธิพลของฝ่ายขวาสุดโต่งหรือศาสนาคริสต์ที่มีต่อสภาแห่งชาติในขณะนี้ นอกจากนี้ เมื่อคุณดูความเกลียดชังต่อต้านจีนที่เกิดขึ้นในเกาหลีใต้ ก็เห็นว่าคนเกาหลีไม่ทำความเข้าใจคนประเทศอื่น ดังนั้นแม้อาจจะมองได้ว่า ประชาธิปไตยของเกาหลีใต้สูงที่สุดในบรรดาประเทศในเอเชียตะวันออก แต่ในความคิดของฉัน มันขาดไปเล็กน้อยที่จะเรียกว่ามันสมบูรณ์”
โซยุน (นามสมมติ) เป็นอีกคนที่ให้ 6 คะแนนเช่นกัน โดยเธอมองว่า แม้ว่าเกาหลีใต้จะมีการเรียกร้อง และประสบความสำเร็จในการถอดถอนประธานาธิบดีที่ทำความผิดถึง 2 ครั้ง และอย่างน้อยประชาชนก็เข้าใจว่าประชาธิปไตยมีกระบวนการทำงานอย่างไร แต่เธอก็มองว่า สถานการณ์การถอดถอนประธานาธิบดี ไม่ควรเกิดขึ้นตั้งแต่แรก
“ดังนั้นเราจึงต้องลงคะแนนเสียงให้ดีตั้งแต่แรก แต่ทุกฤดูกาลเลือกตั้ง เรามักจะถูกนักการเมืองล่อลวง และหลอกล่อ และนั่นทําให้ฉันหงุดหงิดมาก และเนื่องจากเรามีพรรคใหญ่เพียงสองพรรค และฉันรู้ว่ามีคนจํานวนมากที่ไม่ชอบเห็นด้วยอย่างเต็มที่ 100% กับทั้งสองพรรคนั้น แต่มีความเห็นที่สาม ดังนั้นฉันมองว่า เราควรมีพรรคการเมือง หรือองค์กรทางการเมืองที่เป็นตัวแทนของพรรคที่ 3 มากขึ้น
แต่ถึงกระนั้นมันก็ยากจริงๆ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนหนุ่มสาวไม่สามารถแสดงความคิดเห็นในด้านการเมืองได้ ดังนั้นฉันคิดว่ามันสําคัญมากสําหรับประเทศประชาธิปไตยที่คนรุ่นใหม่จะมีอำนาจมากขึ้น และเป็นตัวแทนหลักในการรักษาประชาธิปไตย”
เธอยังมองว่าคนไทยอาจจะรู้สึกอิจฉา หรือเห็นเกาหลีใต้เป็นแบบอย่างที่สามารถจะประท้วง และป้องกันกฎอัยการศึกไว้ได้ แต่ในมุมนึง เธอก็ตั้งคำถามว่า “มันก็จริง ที่เราสามารถป้องกันรัฐประหารได้ แต่มันก็ยุ่งยากเกินไป ทำไมเราต้องมาอยู่ (ประท้วง) ที่จัตุรัสในช่วงฤดูหนาว ที่อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ ? ทำไมเราต้องมาถอดถอนผู้นำของเรา ? ฉันไม่สามารถพูดได้ว่าฉันพอใจกับภูมิศาสตร์ทางการเมืองของเกาหลีในปัจจุบัน บางทีฉันอาจจะโลภเกินไปก็ได้”
ด้านดาฮเย (นามสมมติ) ที่ให้คะแนนมากขึ้นมาหน่อยคือ 6.5 คะแนนนั้น คิดว่า ประชาธิปไตยเกาหลีใต้มีความพร้อมในเชิงสถาบัน แต่เธอตัด 0.5 คะแนนเพราะในตอนนี้ พรรคการเมืองสองพรรคอย่างพรรคประชาธิปไตย และพลังประชาชนนั้น ค่อนข้างปะทะกันอย่างดุเดือนในสภา และพวกเขาไม่ได้ทำให้คนสนใจการเมืองมากขึ้น แต่ใช้วิธีดึงความสนใจผู้คน ด้วยการปราบปรามคนกลุ่มน้อย เช่น LGBTQ หรือต่างชาติ
“ทั้งอีกเหตุผลคือ กฎหมายที่สามารถคุ้มครองชนกลุ่มน้อย เช่น พระราชบัญญัติกิจกรรมนักศึกษาและสิทธิมนุษยชนของเยาวชน ยังคงค้างอยู่ในสภา เพราะการไม่ร่วมกันของฝ่ายนิติบัญญัติที่กล่าวไป ฉันคิดว่าปัจจัยที่สองนี้ ขัดขวางประชาธิปไตยให้ไม่ก้าวไปข้างหน้า”
ขณะที่ YL และอึนแจ (นามสมมติ) ให้คะแนนเท่ากัน คือ 7 คะแนน โดย YL มองว่า แม้ประชาธิปไตยจะทำหน้าที่ได้ดีในการป้องกันกฎอัยการศึก แต่เขาก็มองว่า ตอนนี้ยังมีการแบ่งขั้วทางการเมือง และความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ
ส่วนอึนแจนั้นมองว่า “หากคุณดูการลงคะแนนเสียงหรือข่าว มันดูเหมือนประเทศประชาธิปไตย แต่จากมุมมองของบุคคลที่อาศัยอยู่ในความเป็นจริง ถ้าผู้คนยังไม่มีทัศนคติของคนที่ยังรับรู้ความแตกต่างไม่ได้ ก็จะเกิดการโจมตีเล็กน้อย และสื่อเองก็ไม่รับรู้ความเห็นต่างของกันและกัน และต่อสู้ว่าอีกฝั่งผิด ในบรรยากาศทางสังคมเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ ฉันคิดว่าฉันจะไม่สามารถให้ 8 หรือ 9 คะแนนได้ และฉันคิดว่ายังมีหนทางอีกยาวไกล สําหรับคนที่อาศัยอยู่ในระบบนี้ที่จะเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น”
ทำไมประชาธิปไตยเกาหลีเข้มแข็ง และไทยจะเรียนรู้ได้อย่างไร ?
แม้เราจะพูดคุยกับคนเกาหลี ว่าเขามองประชาธิปไตยตัวเองอย่างไรแล้ว เราก็อยากจะตอบคำถามให้ได้อีกว่า อะไรทำให้ประชาธิปไตยเกาหลีแข็งแรง ? แล้วประชาธิปไตยเกาหลีต่างจากที่อื่นอย่างไร และไทยจะเรียนรู้อะไรจากเขาได้ ?
ซึ่งเราก็ได้มาคุยกับ ‘อี จองวู’ นักวิจัยคณะกรรมการวิจัยการศึกษาไทยและลาว สมาคมเกาหลีเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา ที่เขาก็ให้คะแนนประชาธิปไตยในเกาหลีใต้ สูงถึง 9 คะแนนเลยทีเดียว โดยเขาให้เหตุผลว่า
“อันดับแรกคือเรื่องการฟื้นฟูสู่สภาพปกติ เพราะแม้ว่าประชาธิปไตยเกาหลีจะเจอเหตุการณ์กฎอัยการศึกเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว แต่ประเด็นคือสภาแห่งชาติสามารถป้องกันมันได้จริงๆ ด้วยการลงมติยกเลิกกฎอัยการศึก ซึ่งหมายความว่าสถาบันสามารถป้องกัน ความพยายามสําหรับการรัฐประหารตนเอง ที่ทําโดยประธานาธิบดี ซึ่งได้เห็นถึงความรับผิดชอบของสถาบัน ที่มันแสดงให้เห็นถึงการฟื้นฟูสู่สภาพปกติ ของประชาธิปไตยเกาหลี
ข้อที่สอง หลังจากการทำรัฐประหารตนเอง สิ่งสําคัญคือการแก้ปัญหาการลอยนวลพ้นผิด เพราะทหารและนักการเมือง ผู้ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการรัฐประหารตนเอง หรือกฎอัยการศึกควรถูกลงโทษ โดยการสืบสวนหรือดําเนินคดี ในพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม หรือการใช้อำนาจในทางที่ผิด ดังนั้นพวกเขาจึงต้องถูกลงโทษตามกฎหมายอย่างเข้มงวด การลงโทษแบบนี้จะช่วยเพิ่มคุณภาพของประชาธิปไตยให้ดีขึ้น เพราะตัวอย่างแบบนี้สามารถป้องกันความพยายามอื่นๆ ของการรัฐประหารตนเองในอนาคตได้”
จองวู ยังชี้ว่า แม้จะดูเส้นทางประชาธิปไตยของเกาหลี ช่วงปีทศวรรษ 1980 ประชาธิปไตยเกาหลีใต้จะเฟื่องฟูด้วยกระบวนการประท้วงของประชาชน แต่ตอนนี้แทนที่วิธีการประท้วงอย่างเดียว เกาหลีใต้สามารถรักษาประชาธิปไตยได้ด้วยสถาบันต่างๆ เช่น ความสมดุล และการตรวจสอบและถ่วงดุลระหว่างสถาบันและรัฐบาล และประชาชนสามารถดําเนินการยื่นคําร้องต่อรัฐบาลและนักการเมืองและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้อย่างอิสระ
ทั้งเขายังมองว่า ความเข้มแข็งของประชาธิปไตยเกาหลีนั้น คือรัฐธรรมนูญ และการควบคุมทหารภายใต้อำนาจของพลเรือน
“เพราะตามรัฐธรรมนูญ ปี 1987 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญของประชาชน มีการตรวจสอบและถ่วงดุลระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร แต่ประเด็นก็คือ ตามรัฐธรรมนูญนี้ เราสามารถป้องกันการรัฐประหารตนเอง และกฎอัยการศึกได้ และตอนนี้เราสามารถคิดถึงการรวมอำนาจของประชาธิปไตย
และเรื่องที่สองเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางทหารพลเรือน จริงๆ แล้วตอนนี้เกาหลีสามารถควบคุมกองทัพภายใต้การควบคุมของพลเรือนได้ เราก็สามารถพยายามลงโทษทหารที่มีส่วนร่วมในกระบวนการของกฎอัยการศึกหรือการรัฐประหาร”
แม้จองวู จะเป็นชาวเกาหลีใต้ แต่เขาได้ศึกษาเรื่องการเมืองไทยอย่างใกล้ชิด ซึ่งเมื่อเราถามเขาถึงสิ่งที่ไทยจะเรียนรู้จากเกาหลีใต้ได้นั้น เขาก็มองถึงสามประเด็น
“วงจรอุบาทว์ของการเมืองไทยก็เหมือนกับการเลือกตั้ง รัฐประหาร การเลือกตั้ง รัฐประหาร มันซ้ำรอยอีกครั้ง แต่ทุกวันนี้บางทีการรัฐประหารในรูปแบบอื่นอาจเกิดขึ้น เช่น คําพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ, การยุบพรรคการเมือง หรือการตัดสิทธิ์นักการเมือง ผมหมายถึงยังมีนักโทษการเมืองบางคนที่ยังอยู่ในคุก ดังนั้นไทยต้องยอมรับโครงสร้างทางสังคมบางอย่าง ได้จำกัดความก้าวหน้าของประชาธิปไตย
แต่ประเด็นคือไม่ควรมีความลับ ในแง่ของอำนาจทางการทหาร ดังนั้นจึงเป็นสิ่งสําคัญมากที่จะกําหนดเกณฑ์นี้ในหมู่ประชาชนชาวไทยและประชาชนชาวเกาหลีด้วย เพราะประชาชนเกาหลีเห็นพ้องต้องกันว่าพวกเขาจําเป็นต้องควบคุมกองทัพอย่างมีประสิทธิภาพภายใต้การควบคุมของพลเรือน นั่นคือเหตุผลที่เราป้องกันกระบวนการรัฐประหารยกเว้นปีที่แล้ว แต่เป็นเวลากว่า 30 ปี”
“ดังนั้นผมจึงมีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการเมืองไทยในสามวิธี ข้อแรกเกี่ยวกับการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ ไทยมีรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่ตอนนี้มีประชาชนและนักกิจกรรมที่เข้าร่วมรณรงค์การเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ และเรื่องที่สองเกี่ยวกับการนิรโทษกรรมสําหรับผู้ที่มีส่วนร่วมในกระบวนการทางการเมือง ดังนั้นการนิรโทษกรรมสําหรับประชาชน
และข้อที่สามอาจเกี่ยวกับการควบคุมของกองทัพ ซึ่งเป็นจุดสําคัญมากสําหรับกระบวนการทําให้เป็นประชาธิปไตย เพราะผมหมายถึงเป้าหมายของกองทัพคือการช่วยประชาชน ไม่ใช่เกี่ยวกับการมีอํานาจทางการเมือง ดังนั้นผมหวังว่าประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะสามารถควบคุมกองทัพภายใต้การควบคุมของพลเรือนได้เช่นกัน” เขาสรุป
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
