รีเซต

3 กลุ่มทุนใหญ่คว้าตั๋ว "Virtual Bank" เพิ่มช่องทางเข้าถึงสินเชื่อ

3 กลุ่มทุนใหญ่คว้าตั๋ว "Virtual Bank" เพิ่มช่องทางเข้าถึงสินเชื่อ
TNN ช่อง16
26 มิถุนายน 2568 ( 10:18 )
14

เปิดฉากสมรภูมิธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา "Virtual Bank" อย่างเป็นทางการ หลังจาก กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)  ไฟเขียวให้ไลเซนส์  3 กลุ่มธุรกิจยักษ์ใหญ่  ประกอบด้วย  1.กลุ่มบริษัท เอซีเอ็ม โฮลดิ้ง จำกัด (ในเครือ แอสเซนด์ มันนี่   – ผู้ให้บริการ TrueMoney)  2.กลุ่มธนาคารกรุงไทย ร่วมกับบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC และบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR    และ3. กลุ่ม SCBX ร่วมกับ WeTechnology และ KakaoBank จากเกาหลีใต้ จัดตั้ง Virtual Bank เพื่อยกระดับบริการทางการเงินดิจิทัลในประเทศเต็มสูบ

 โดยกลุ่มทุนที่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังข้างต้น จะต้องดำเนินการจัดตั้งบริษัทมหาชนจำกัด และปฏิบัติตามเงื่อนไขที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกำหนด รวมถึงผ่านการประเมินความพร้อมจาก ธปท. ก่อนยื่นขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจ Virtual Bank และต้องเปิดดำเนินการภายใน 1 ปีนับแต่วันที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้ความเห็นชอบ (วันที่ 19 มิถุนายน 2568)

 Virtual Bank คืออะไร

ธนาคารพาณิชย์รูปแบบใหม่ที่ไม่มีสาขา โดยจะให้บริการผ่านช่องทางดิจิทัลเป็นหลัก แต่สามารถให้บริการรับฝากเงิน พิจารณาให้สินเชื่อ โอนและชำระเงิน การให้บริการด้านการลงทุน รวมทั้งบริการอื่นๆ ในลักษณะเดียวกันกับธนาคารพาณิชย์ที่มีสาขาได้ทุกประการ

โดยบริษัทที่ให้บริการต้องมีความเชี่ยวชาญในการให้บริการทางการเงิน และมีความสามารถในการดูแลความปลอดภัยของระบบธนาคารที่ให้บริการผ่านช่องทางดิจิทัลเป็นพิเศษ สามารถใช้เทคโนโลยี ควบคู่ไปกับการเสาะหาข้อมูลทางการเงิน ข้อมูลรอยเท้าดิจิทัล (digital footprint) และข้อมูลทางเลือก (alternative data) ที่หลากหลายเพื่อประกอบการให้บริการทางการเงินแก่ลูกค้าที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น 

พร้อมทั้งเสนอบริการทางการเงินในรูปแบบใหม่ การให้สินเชื่อแบบเฉพาะเจาะจง  กำหนดมุ่งเน้นบริการทางการเงินแก่ กลุ่มผู้ไม่มีรายได้ประจำ และเอสเอ็มอี, กลุ่มที่ไม่ได้รับบริการการเงินอย่างเพียงพอ (Underserved), กลุ่มที่เข้าไม่ถึงบริการทางการเงิน (Unserved)  และกลุ่มที่เข้าไม่ถึงสินเชื่อและกลุ่มเป็นหนี้นอกระบบรวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการทางการเงินที่มีอยู่เดิม สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้ในทุกระดับมากขึ้น โดยข้อมูล ส่วนบุคคลจะต้องไม่รั่วไหล หรือถูกโจรกรรมทางการเงินจากโลกไซเบอร์

ซึ่งเป็นธุรกิจอยู่ภายใต้การกำกับโดย แบงก์ชาติ เหมือนธนาคารพาณิชย์อื่น และอยู่ภายใต้การคุ้มครองของสถาบันคุ้มครองเงินฝาก แต่ระบบของ Virtual Bank ต้องแยกจากสถาบันการเงินอื่นอย่างชัดเจน และจะต้องตั้งสำนักงานใหญ่ในไทยมีทุนจดทะเบียนไม่น้อยกว่า 5,000 ล้านบาท ในระยะแรก  

จุดเด่นของ Virtual Bank  ที่แตกต่างจากธนาคารพาณิชย์ปัจจุบันอาจแบ่งได้เป็น 2 ด้านหลักคือ 

1. การไม่มีสาขาจะช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานให้ Virtual Bank โดยเฉพาะค่าสถานที่ และค่าจ้างพนักงานประจำสาขา หลุดออกจากกรอบของธนาคารพาณิชย์ดั้งเดิมที่ยังพึ่งพาเจ้าหน้าที่หรือบุคลากรในหลายกระบวนการ หรือดำเนินงานบนโครงสร้างระบบเทคโนโลยีเดิมที่อาจไม่ค่อยคล่องตัว ทำให้มีข้อจำกัดในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินรูปแบบใหม่ ๆ ธปท. จึงคาดหวังว่า Virtual Bank จะเข้ามามีบทบาทในการออกแบบกระบวนการทำงานและการให้บริการใหม่ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น อาศัยประโยชน์จากเทคโนโลยีที่ยืดหยุ่นคล่องตัว พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดีและเร็วขึ้น

2. Virtual Bank ที่จะเปิดให้บริการจะต้องนำข้อมูลทางเลือกที่หลากหลายมาใช้วิเคราะห์พฤติกรรม เพื่อประกอบการนำเสนอบริการทางการเงิน ที่เหมาะกับความต้องการและความเสี่ยงของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น  

การลงสนาม 3 บิ๊กกลุ่มทุนเปิดบริการ Virtual Bank ครั้งนี้จะมีผลต่อทิศทางหุ้นแบงก์อย่างไร จะขยายฐานลูกค้าได้มากน้อยแค่ไหน และส่งผลให้รายย่อย เอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพิ่มขึ้นหรือไม่  วันนี้ "TNN Online" พาไปไขคำตอบจากกูรูกันค่ะ

เริ่มจาก “ธนวัฒน์ รื่นบันเทิง” หัวหน้านักวิเคราะห์ นักลงทุนสถาบัน บล.ทิสโก้  มองว่า  Virtual Bank จะทำให้คนที่กู้นอกระบบ และต้องจ่ายดอกเบี้ยสูง รายย่อย และเอสเอ็มอี ที่มีปัญหาสามารถเข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐที่ต้องการให้กลุ่มเหล่านี้เข้ามาอยู่ในระบบ แต่เชื่อว่าผู้ให้บริการจะมีการปล่อยสินเชื่ออย่างระมัดระวัง เพื่อคุมหนี้เสียเช่นกัน ดังนั้นการเข้ามาเปิดบริการไม่ใช่เรื่องง่าย และปัจจุบันการให้สินเชื่อรายย่อยที่ผ่านมานอกจากแบงก์จะให้บริการอยู่แล้วก็ยังมีนาโนไฟแนนซ์  และพิโกไฟแนนซ์ที่เข้ามาให้บริการลูกค้า

 โดยประเมินว่า ช่วงแรกชองการทำธุรกิจคาดว่าจะขาดทุน เพราะต้องมีการลงทุนวางระบบต่าง ๆ ใช้เงินทุนสูง  และไม่รู้ว่าทำไปแล้วจะมีกำไรหรือเปล่า ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นการปราบเซียนเหมือนกัน และจากประสบการณ์ทำ Virtual Bank ในต่างประเทศที่เห็นจากสถิติข้อมูลประมาณ 300 แห่ง มีบริษัทที่ทำกำไรอยู่เพียง 10-20 แห่งเท่านั้น 

ขณะที่ธนาคารพาณิชย์รายอื่นแม้ว่าไม่ได้ให้บริการ virtual bank ก็ไม่ได้เสียเปรียบ เพราะธนาคารเหล่านี้ได้มีการปล่อยสินเชื่อบุคคล  และให้บริการดิจิทัลแบงก์กิ้งกันอยู่แล้ว  แต่จุดที่จะแข่งขันกันคือเรื่องต้นทุน และดอกเบี้ยต้องรอดูว่าธปท.จะให้คิดดอกเบี้ยอย่างไร  ซึ่งอาจคิดตาม เครดิตสกอริ่ง (Credit Scoring) ลูกค้าที่มีความเสี่ยงต่ำจ่ายดอกเบี้ยน้อย แต่ในทางกลับคนที่มีความเสี่ยงสูงก็ต้องจ่ายดอกเบี้ยแพง  โดยเชื่อว่าดอกเบี้ย ที่เคาะออกมาจะต่ำกว่าสินเชื่อที่ให้บริการในปัจจุบัน เพื่อจูงใจคนเข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้น

หากพูดถึงภาวะเศรษฐกิจปีนี้เชื่อว่ายังอ่อนแอ คาดจีดีพีทั้งปีโต 1.6% เป็นผลมาจากนักท่องเที่ยวลดลง 30% YOY เสถียรภาพการเมืองมีความเสี่ยง และไทยได้รับผลกระทบจากภาษี “ทรัมป์”  ดังนั้นมองว่าการปล่อยสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ปีนี้ไม่เติบโต จากปีที่แล้วติดลบ  0.7% ส่วนหุ้นแบงก์ปัจจุบันราคาหุ้นลงมามาก ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนแนะนำสะสมหุ้นที่ dividend yield สูง ชูหุ้น KTB ราคาเป้าหมาย 26 บาท และ TTB  ราคาเป้าหมาย 2.20 บาท

ขณะที่  “ภาสกร หวังวิวัฒน์เจริญ” รองผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส ได้ฉายภาพว่า  ภาวะหนี้ครัวเรือนไทยที่จะอยู่ระดับเกิน 80% ของจีดีพี การให้บริการ virtual bank  เชิงรุกเป็นไปได้ยากท่ามกลางเศรษฐกิจเปราะบาง มีโอกาสที่ประสบปัญหาขาดทุนในช่วงแรก ดังนั้นการจะไปสู่จุดคุ้มทุนได้ หากไม่มีภาครัฐสนับสนุน ผู้ประกอบธุรกิจจะต้องเร่งขยายฐาน สินเชื่อ เข้าสู่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลักของ virtual bank ที่เน้นไปยังกลุ่มลูกค้าที่ไม่เคยเข้าถึงสินเชื่อธนาคารมาก่อน และรูปแบบการพิจารณาสินเชื่อจะใช้จากฐานข้อมูลที่มีอยู่ เพื่อให้ Credit risk ของพอร์ตสินเชื่อสัมพันธ์กับผลตอบแทนที่ได้รับ (Loan spread) ขณะที่การปล่อยสินเชื่อจะมีความเข้มงวดมากขึ้น เพื่อป้องกันหนี้เสีย ซึ่งไม่แตกต่างจากให้บริการในปัจจุบัน

นอกจากนี้ที่ผ่านมาการจัดตั้งบริษัทที่ทำธุรกิจด้านสินเชื่อใหม่ ของกลุ่มธนาคาร  เช่น อย่าง AUTOX (จำนำทะเบียนรถ) ของ SCB เริ่มธุรกิจช่วง 2Q65 สามารถทำกำไรสุทธิได้ในปี 2566 (ฐานสินเชื่อ ณ สิ้นปี 2565 อยู่ที่ 7,500 ล้านบาท และสิ้นปี 2566 อยู่ที่ 34,000 ล้านบาท บน Yield on loan ประมาณ 19% - 20%) ดังนั้นมองว่า ปี 2569 – 2570  การทำธุรกิจ virtual bank   ต้องคำนึงถึงสัดส่วนการถือหุ้นใน virtual bank ของแต่ละบริษัทฯ (ทุนจดทะเบียนเริ่มต้น 5,000 ล้านบาท) ซึ่งมีผลต่อการรับรู้รายได้ และผลการดำเนินงาน วิธีการบันทึกบัญชี (ทางบการเงินรวมหรือ Equity method) 

 ทั้งนี้หากเทียบระหว่าง KTB และ SCB ในการให้บริการ virtual bank  นั้น มีความพร้อมทั้งฐานทุน ประสบการณ์ในการปล่อยสินเชื่อ รวมถึงด้านเทคโนโลยีจากพันธมิตร  แต่เห็นว่า  KTB มีความได้เปรียบกว่า SCB จากฐานข้อมูลของพันธมิตร ADAVANC มีฐานลูกค้าประมาณ  50 ล้านคน  ขณะเดียวกัน ADAVANC จับมือกับกลุ่ม JAS  คว้าลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสด พรีเมียร์ลีก อังกฤษ  และไทยลีคก็เป็นช่องทางขยายฐานลูกค้ามากขึ้น  ส่วน OR (Daily traffic visitor ประมาณ 3.9 ล้านคน และมีสถานีบริการน้ำมันในไทย 2,300 สาขา ซึ่งอาจเป็นฐานของการตามหนี้ลูกหนี้ในพื้นที่ได้)

 ฝั่งของ SCB แม้มีจุดเด่นจากพันธมิตรที่ทำ virtual bank  ในต่างประเทศ ทั้ง Kakao และ Webank มาช่วยสนับสนุนการให้บริการทางการเงินที่หลากหลาย  ด้านธนาคารรายอื่น แม้ว่าจะไม่ได้ไลเซนส์ virtual bank  ในรอบนี้  แต่ปัจจุบันธนาคาร มีการรองรับลูกค้าทำธุรกรรม บนช่องทาง Digital อยู่แล้ว ทั้งด้านเงินฝาก และสินเชื่อ

กลยุทธ์การลงทุนเลือก KTB เป็นหุ้นเด่นของกลุ่มฯ คาด dividend yield  อยู่ที่  7.4% ต่อปี และทิศทาง ROE ประมาณ 10% สูงกว่า ธนาคารพาณิชย์ใหญ่อื่นอยู่ที่  8% - 9%  เทียบกับ PBV ที่ 0.6 เท่า (SCB มี PBV ประมาณ  0.8 เท่า และ ROE ที่ 9% ) ซึ่ง Valuation น่าสนใจ  โดยประเมินระยะถัดไปของหุ้นแบงก์ยังมีปัจจัยขับเคลื่อน ราคาหุ้นจากการจ่ายปันผลระหว่างกาล  เช่น  BBL, KBANK, TISCO, SCB และ TTB เป็นต้น

ปิดท้าย “บล.กรุงศรี” มีมุมมอง Neutral ต่อการประกาศรายชื่อผู้ที่ได้รับการจัดตั้งธนาคารไร้สาขา (Virtual Bank) เพราะผู้ที่ได้รับการคัดเลือกไม่ได้ต่างจาก ที่มีข่าวช่วงต้นปีที่ผ่าน ภาพรวมเรายังคงมุมมองเดิมต่อกลุ่ม Bank ที่ได้รับผลกระทบจำกัด เพราะ ปัจจุบันทางธนาคารพาณิชย์ดั้งเดิม ส่วนใหญ่ได้พัฒนาการเงินดิจิทัลอยู่แล้ว เช่น การให้บริการ Internet  Mobile Banking การให้บริการบัญชีเงินฝากที่ไม่มีสมุดคู่ฝาก การ ขอสินเชื่อผ่านระบบ Online เป็นต้น

 โดยขั้นตอนถัดไปผู้ที่ได้รับการคัดเลือกในการจัดตั้งธนาคารไร้สาขาต้องเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ ทั้ง การจัดตั้ง บริษัทมหาชน ทุนจดทะเบียน การสนับสนุนทางการเงินจากผู้ถือหุ้น และความพร้อมในการประกอบธุรกิจ   ก่อนยื่นขอรับ ใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจ Virtual Bankจากกระทรวงการคลัง

 ซึ่งช่วงแรกในการเปิดดำเนินการ Virtual Bank คาดว่าธนาคารอาจมีผลขาดทุน เพราะเป็นช่วงการลงทุนด้านดิจิทัลและการระดมเงินฝาก คาดว่าจะมีอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่สูงกว่าธนาคารดั้งเดิม ส่วนกลุ่มเป้าหมายปล่อยสินเชื่อจะเป็นกลุ่มที่ไม่สามารถเข้าถึงบริการทาง การเงินของธนาคารได้ ซึ่งใกล้เคียงกับกลุ่ม Consumer Finance

อย่างไรก็ตาม คาดว่าทั้ง KTB และ SCB จะถือหุ้นในธนาคารไร้สาขา  ต่ำกว่า 50% และรับรู้เป็นส่วนแบ่งกำไร(ขาดทุน)จากบริษัท ร่วมทุน  โดยคงคำแนะนำ   NEUTRAL ต่อกลุ่มแบงก์ ชู  KBANK  ราคาเป้าหมาย 170 บาท และ KTB ราคาเป้าหมาย 25 บาท เป็น Top Pick  และแนะนำ BULLISH ต่อกลุ่ม Consumer Finance  ชู MTC  ราคาเป้าหมาย 58บาท เป็น Top Pick

แม้ว่าธนาคารไร้สาขาจะเป็นช่องทางเลือกให้ลูกค้าเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น แต่สิ่งสำคัญที่ผู้ให้บริการต้องระมัดระวัง คือความเสี่ยงเรื่องหนี้เสียที่อาจเกิดขึ้นท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ยังเปราะบาง และกำลังซื้อยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ เพราะหากโหมปล่อยสินเชื่อสร้างฐานลูกค้ามากเกินความจำเป็น อาจทำให้มีรูรั่วเรื่องคุณภาพสินเชื่อ ทำให้หนี้เสียเร่งตัวขึ้นจนส่งผลเสียหายต่อเศรษฐกิจในอนาคตได้...

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง