พรมแดนไม่ใช่แค่เส้น: ความรู้ ความขัดแย้ง และความเข้าใจไทย–กัมพูชา จากเสวนาวิชาการ

ในขณะที่ประเด็นเรื่องไทย-กัมพูชา จากกรณีพิพาทดินแดนทำให้เกิดการถกเถียง ประเด็นต่างๆ และข้อมูลมากมาย ศูนย์วิจัย ดิเรก ชัยนาม คณะรัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ได้จัดงานเสวนาวิชาการหัวข้อ “ไทยนี้รักสงบ: พรมแดน ความรู้ ไทย–กัมพูชา”
โดยมีนักวิชาการสามท่านคือ ผศ.อัครพงษ์ ค้ำคูณ, ดร.ภัทรพงษ์ แสงไกร และ ดร.ชญานิษฐ์ พูลยรัตน์ ที่ได้ร่วมกันอธิบายข้อพิพาทไทย–กัมพูชาทั้งในแง่กฎหมาย ประวัติศาสตร์ และมิติทางรัฐศาสตร์ เพื่อเปิดพื้นที่ความเข้าใจต่อสิ่งที่ดูเหมือนง่ายอย่างคำว่า “เส้นเขตแดน” ที่แท้จริงแล้วมีชั้นเชิงทางการเมือง กฎหมาย และอารมณ์ร่วมของผู้คนอยู่ลึกซึ้ง
ในงานเสวนานี้ ผศ.อัครพงษ์ ค้ำคูณ ได้เริ่มอธิบายตั้งแต่จุดเริ่มต้นว่า เรามักใช้คำว่า “เขตแดน”, “พรมแดน” และ “ชายแดน” สลับกัน แต่แต่ละคำมีความหมายที่ต่างกัน เช่น “เขตแดน หมายถึงเส้น ส่วนชายแดน คือพื้นที่ ที่มีคนอาศัยอยู่ด้วย” โดยพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชาในปัจจุบันมีระยะทางราว 790 กิโลเมตร ครอบคลุม 7 จังหวัด และมีทั้งด่านผ่านแดนถาวร 6 แห่ง กับจุดผ่อนปรนอีกประมาณ 10 จุด
อาจารย์ยังได้เปิดหลักฐาน แผนที่ รวมถึงเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับข้อพิพาทนี้ โดยชี้ว่า ล่าสุดในการยื่นหนังสือถึงศาลโลกนั้น ยังไม่ใช่การยื่นฟ้อง เพียงแต่สร้างเหตุเพื่อให้ศาลคิดว่าต้องพิจาณา และยื่นจดหมายแสดงเจตจำนงค์จะขึ้นศาลโลกเท่านั้น ยังไม่ได้มีการยื่นเอกสารอื่นๆ ไป
รวมถึงการขึ้นศาลโลกในอดีตนั้น เป็นการพิจารณาถึงพื้นที่บริเวณเขาพระวิหารว่าเป็นของประเทศใด แต่ไม่ได้เป็นการตัดสินเรื่องแผนที่ แต่ถึงอย่างนั้น ก็เป็นเรื่องเดียวกันในข้อถกเถียงเรื่องเส้นแบ่งอธิปไตย
อาจารย์อัครพงศ์ยังชี้ว่า โดยปกติแล้ว มีหลักฐาน 3 รูปแบบในการอ้างอิงพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา คือ
สนธิสัญญา 1904/1907 ที่พูดถึงการแบ่งพื้นที่ด้วยสันปันน้ำ
ปักปันเขตแดน แผนที่อัตราส่วน (Delimitation) 1:200000
ปักหลักเขตแดน (Demarcation) บันทึกวาจาปักหลักหมายเขต
และ MOU 2543 คือบันทึกร่วมปักหลักเขต ที่มีส่วนสำคัญที่ข้อ 5 และ 8 คือให้อำนวยความสะดวกในการปักหลักเขตแดน
ทั้งอาจารย์ยังย้อนว่า ในการขึ้นศาลโลกครั้งก่อน ในการต่อสู้เรื่องเขาพระวิหารนั้น เป็นการต่อสู้ตีความสนธิสัญญาให้อยู่ในแผนที่ และแผนที่ฉบับนั้นที่ทางกัมพูชายื่นเป็นหลักฐานนั้น เป็นแผนที่เดียวที่มีการเขียนว่าเขาพระวิหารอยู่ในแผนที่ ซึ่งในตอนนั้นเองทางไทยไม่ได้สู้คดี หรือโต้แย้ง จึงเป็นผลให้คำตัดสินออกมาเช่นนั้น
ในด้านกฎหมาย ดร.ภัทรพงษ์ แสงไกร อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้วางกรอบความเข้าใจผ่านมุมมองกฎหมายระหว่างประเทศ โดยอธิบายว่า ความเป็นรัฐยุคใหม่จำเป็นต้องมีองค์ประกอบสำคัญคือ ‘ดินแดนที่แน่นอน’ ซึ่งเขตแดนคือสิ่งที่บ่งชี้ ว่าอำนาจอธิปไตยของรัฐไปถึงตรงไหน
อาจารย์ยังแยกข้อพิพาทระหว่างรัฐออกเป็นสองประเภทหลัก ได้แก่ ข้อพิพาทดินแดน (territorial dispute) และข้อพิพาทเขตแดน (boundary dispute) โดยกรณีเขาพระวิหารจัดอยู่ในกลุ่มแรก ซึ่งอธิบายว่า “ไม่ใช่แค่ผืนดินข้างบน แต่ยังรวมใต้ดิน ทรัพยากร และน่านฟ้าด้วย”
อาจารย์ภัทรพงษ์ยกตัวอย่างคดีในศาลโลกระหว่างนิคารากัวกับคอสตาริกา ที่แม้จะตัดสินแล้วว่าเป็นดินแดนของใคร แต่ก็ยังต้องขึ้นศาลอีกครั้งเพื่อลากเส้น เพราะ “ไปศาลไม่ได้จบเสมอไป ข้อกฎหมายยังไม่จบเลย”
ในกรณีของไทย–กัมพูชา เขาชี้ว่าการใช้ศาลโลกยังต้องอาศัยมากกว่าการยึดสนธิสัญญา เช่นเดียวกับกรณีปราสาทพระวิหารที่ “ฝั่งไทยอ้างสนธิสัญญา ฝั่งกัมพูชาอ้างแผนที่และการยอมรับ ศาลก็จะเปรียบเทียบ” โดยขึ้นอยู่กับทักษะในการต่อสู้คดีว่า ฝ่ายไหนสามารถโน้มน้าวศาลได้ดีกว่ากัน พร้อมเตือนด้วยว่า “ถ้าสู้คดีไม่เก่ง ก็แพ้ได้”
เขาย้ำว่าในกฎหมายระหว่างประเทศ การใช้กำลังในพื้นที่พิพาทเป็นสิ่งต้องห้าม แม้แต่การข่มขู่ด้วยกำลังก็ผิด โดยเฉพาะถ้าใช้กำลังในพื้นที่ที่ต่อมาศาลตัดสินว่าไม่ใช่ของเรา ก็อาจ ผิดย้อนหลัง ถึงขั้นต้องรับผิดในเวทีระหว่างประเทศ
“การใช้กำลัง การรบ และการผนวกดินแดน ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาอะไรเลย ยิ่งทำให้ผิดกฎหมาย” อาจารย์ย้ำ โดยชี้ว่าในปัจจุบัน การผนวกดินแดนไม่ใช่สิ่งที่ทำได้แล้ว และหากมีการรบ และผนวกดินแดนนั้น กฎหมายระหว่างประเทศเองก็ระบุด้วยว่า รัฐอื่นๆ ในโลกก็จะไม่ยอมรับการกระทำนั้น ซึ่งถ้าไทยเลือกวิธีนี้ ก็จะ “ไม่เพียงผิดกฎหมาย แต่ยังไม่ช่วยอะไรเลยในทางระยะยาว”
สุดท้าย ดร.ชญานิษฐ์ พูลยรัตน์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ได้เข้ามาเติมมุมมองรัฐศาสตร์ โดยชวนตั้งคำถามว่า ‘เขตแดน, รัฐ, ความเป็นชาติ’ นั้นแท้จริงแล้วเป็นสิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้น “เป็นผลผลิตของรัฐสมัยใหม่” โดยอ้างอิงแนวคิดของ อ.ธงชัย วินิจจะกูล ว่า เส้นเขตแดนคือสิ่งที่กำหนดขอบเขตการกระทำของมนุษย์ แต่ปัญหาคือ เมื่อมันถูกทำให้ศักดิ์สิทธิ์มากเกินไป จึงกลายเป็นพื้นที่ที่ไม่เปิดให้วิพากษ์
อาจารย์รัฐศาสตร์ชี้ว่า เรามักเชื่อว่ามีแค่สองทางเลือก คือ ‘ทำสงคราม’ หรือ ‘ยอมจำนน’ จากวาทกรรมในช่วงที่ผ่านมา ทั้งที่ในความเป็นจริงมีทางเลือกที่ไม่ใช้ความรุนแรงเต็มไปหมด เช่น การปิดชายแดน ตัดน้ำ ตัดไฟ หรือแม้แต่การเปลี่ยนเวลาเปิดปิดด่าน ซึ่ง กลายเป็นเครื่องมือเจรจาที่มีประสิทธิภาพมากกว่า
อาจารย์ยกว่าในช่วงแรก ที่ทางไทยมีวาทกรรมให้สู้รบ หรือใช้กำลัง ฝั่งฮุน เซน อดีตนายกฯ กัมพูชานั้น ไม่ตอบโต้อะไร จนกระทั่งเมื่อเราเริ่มมีมาตรการเกี่ยวกับการเปลี่ยนเวลาปิดด่าน เขาจึงเริ่มขยับ และตอบโต้ “การไม่ใช้ความรุนแรง อาจได้ผลมากกว่า เพราะอีกฝ่ายเขาต้องการความร่วมมือจากเรา ถ้าเราถอนความร่วมมือออก ก็อาจส่งผลได้มากกว่า”
ถึงอย่างนั้น สิ่งที่เธอเตือนคือ มาตรการตอบโต้ต้องคิดให้รอบด้านว่า ส่งผลกระทบต่อประชาชนตัวเล็กตัวน้อยแค่ไหน และเตือนว่า เรามักเหมารวมฝ่ายตรงข้ามเป็นองค์รวมเดียวกัน คือ ฮุน เซน และคนกัมพูชาทั้งหมด ซึ่งอาจทำให้มาตรการที่เราใช้จริงๆ ไม่กระทบชนชั้นนำ แต่กลับส่งผลต่อแรงงาน คนจน และผู้ไม่มีส่วนได้เสีย “การใช้มาตรการที่กระทบชาวกัมพูชา เราไม่แน่ใจเลยว่าฮุน เซนแคร์ไหม” อาจารย์ย้ำ
ยิ่งไปกว่านั้น เธอยังทิ้งท้ายว่า ภัยคุกคามต่อคนไทยในปัจจุบัน ไม่ได้อยู่แค่ขอบเขตทางกายภาพ แต่รวมถึงสแกมออนไลน์ ข้ามชาติ ที่ไม่ได้แก้ได้ด้วยปืนหรือเส้นเขตแดนอย่างเดียวด้วย แต่ต้องมีการทำงานอย่างรอบด้าน
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
