รุก-ตอบโต้ให้ได้สัดส่วน แต่อย่าให้ถึงจุดตัดความสัมพันธ์ นักวิชาการมองท่าทีรัฐบาลแก้ปัญหาไทย-กัมพูชา

ปัญหาความขัดแย้งไทย และกัมพูชา ดูแล้วจะดำเนินต่อไปอีกซักระยะ ท่ามกลางมาตรการตอบโต้จากทั้งสองฝ่าย ที่ล่าสุด (23 มิถุนายน 2568) ฝั่งกัมพูชาประกาศพยายามยกเลิกการนำเข้าน้ำมันจากไทย และไทยเองก็ประกาศปิดด่านเพิ่มในอีก 2 จุด
TNN Online พูดคุยกับ 2 นักวิชาการไทย ผู้เชี่ยวชาญทั้งด้านความมั่นคง และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลังกรณีผู้นำไทย แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ถูกฝั่งกัมพูชาปล่อยคลิปเสียงสนทนา และภาพพบปะกันในอดีต จนเกิดการมองว่าฝั่งไทยมีท่าทีอ่อน และวางตัวเป็นแนวรับมากไป ซึ่งทั้งสองนักวิชาการต่างก็มองว่า รัฐบาล และหน่วยงานอื่นๆ ต้องรุกและตอบโต้ให้ได้สัดส่วน แต่อย่าให้ถึงจุดตัดความสัมพันธ์
ปัญหาคอลเซ็นเตอร์ ภัยคุกคามรูปแบบใหม่ ที่มาพร้อมข้อพิพาทดินแดนรูปแบบเดิม
นอกจากปัญหาพิพาทชายแดนแล้วนั้น ช่วงที่ผ่านมา มีงานวิจัยหลายชิ้นที่เปิดเผยถึงการเป็นจุดศูนย์กลางสแกมเมอร์ของกัมพูชา ทั้งจาก UNODC หรือ สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ ที่พบฐานของอาชญากรไซเบอร์หลายจุดในกัมพูชา รวมถึงจุดใหญ่ที่ปอยเปต ระหว่างชายแดนไทย-กัมพูชา
รศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช อาจารย์สาขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มองว่า การมีอยู่ของสแกมเมอร์เหล่านี้ กระทบไทยแน่นอน
รศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช
“มันก็กระทบแน่นอนอยู่แล้ว เรื่องของสวัสดิภาพของคนไทย การถูกหลอกเรื่องเกี่ยวกับการเงิน และสแกมเมอร์มีอยู่ตามตะเข็บชายแดนที่รัฐกะเหรี่ยงของทางเมียนมา ซึ่งอยู่ติดกับจังหวัดตาก แล้วอีกจุดหนึ่งที่เข้มข้นก็คือตรงปอยเปตติดกับอรัญประเทศที่จังหวัดสระแก้วตรงจุดนี้ มีบ่อนพนันมีกาสิโน มีการเข้ามาฝังโครงข่ายของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ มีจีนเทา มีเขมรเทา หรือแม้กระทั่งไทยเทาเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย เป็นตรงชายแดนที่มีส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชีวิตคนไทยดังนั้นมาตรการสําหรับประเทศไทยต้องดูเรื่องที่ทางสภาเคยเสนอ และฝ่ายความมั่นคงก็รับไว้พิจารณา ก็คือการตัดน้ําตัดไฟ ตัดสัญญาณอินเตอร์เน็ต หรือว่าทําลายเครือข่ายของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ฝั่งไทย”
อาจารย์มองในส่วนที่คล้ายคลึงกับฝั่งเมียนมา ในการใช้มาตรการกดดันเหล่านี้กับกัมพูชาว่า “เพราะว่าเส้นเลือดทางเศรษฐกิจของด่านชายแดนตรงนั้นที่มีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ มันอาจจะสัมพันธ์กับโครงข่ายชนชั้นนําที่สูญอํานาจในพนมเปญไม่มากก็น้อย แต่ว่าถ้าเราทําแบบนี้มันจะกดดันกัมพูชาได้สักระยะหนึ่ง แล้วก็ทําให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่เป็นอาชญากรรม ข้ามชาติชะงักงันไป หรือได้รับผลกระทบสักระยะหนึ่ง แต่ว่าพอวันเวลาผ่านไปเนี่ย เขาจะมีกลยุทธ์ใหม่ในการสร้างความอยู่รอด ดํารงสภาพใหม่ ไม่หายไป แต่เขา ก็จะพัฒนาแนวทางการต่อสู้ การรับมือต่างๆนะครับ เช่น ถอยออกไปในเขตจังหวัดชั้นในของทางกัมพูชา แล้วก็ดำเนินกิจการต่างๆ สืบต่อไป”
ซึ่งอาจารย์มองว่าเป็นเรื่องยากในการปราบแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ในคราวเดียว แต่ถึงอย่างนั้น ทั้งปัญหาคอลเซ็นเตอร์ สแกมเมอร์ และปัญหาพื้นที่พิพาทชายแดนกับกัมพูชานั้น เป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องแก้ปัญหาไปพร้อมๆ กัน และต้องปรับท่าทีหลังจากนี้ด้วย
“สแกมเมอร์ และปัญหาชายแดน เป็นภัยคุกคามความมั่นคงรูปแบบใหม่ และรูปแบบเก่า ซึ่งเราจะต้องระงับปัญหานี้ไปพร้อมๆ กัน ซึ่งมีในมาตรการของฝ่ายความมั่นคงอยู่แล้ว แต่ว่าปัญหานี้ สําหรับกัมพูชา มันเป็นเรื่องของบทบาทนายกรัฐมนตรีไทย และนโยบายต่างประเทศของไทย”
อ.ดุลยภาคมองว่า ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ที่ช่องบก เมื่อปลายเดือนพฤษภาคม สามารถมองนโยบายต่างประเทศของรัฐบาลแพทองธารได้ 2 ลักษณะ ที่เด่นๆ คือนโยบายเพื่อนบ้านที่ดีกับทางตระกูลฮุน ไม่อยากจะทะเลาะกับตระกูลฮุน ไม่อยากจะปิดด่านพรมแดน อยากจะหล่อเลี้ยงการเชื่อมต่อทางเศรษฐกิจ และนโยบายผ่อนปรนกับผู้นํากัมพูชาที่มากจนเกินไป ‘appeasement policy’ ซึ่งเห็นได้จากกรณีคลิปเสียง ที่อาจมีการถามทางกัมพูชาว่าอยากได้อะไร
“ดังนั้นก็ต้องตั้งคําถาม กับนโยบายต่างประเทศที่ออกมาจากทําเนียบรัฐบาล และกระทรวงการต่างประเทศด้วยว่านับจากนี้ไปจะมีลักษณะอย่างไร ถ้ายังเป็นแบบเดิมอยู่ คือเพื่อนบ้านที่ดีกับกัมพูชา แล้วก็เอาใจผู้นํากัมพูชา ผมว่าการแก้ปัญหาชายแดนกับกัมพูชา หรือต่อสู้กับกัมพูชาก็เป็นไปได้ยากเพราะเราอ่อน แต่ทางโน้นแข็ง และยังมีไพ่ต่อรองอยู่”
“แต่ว่าถ้ารัฐบาลปรับนโยบายเป็นตอบโต้กัมพูชา แบบคล่องแคล่วแข็งขันมากขึ้นถ่วงดุลอํานาจกับกัมพูชา เผชิญหน้ากับกัมพูชาบ้าง ตรงเนี้ยมันก็จะทําให้นโยบายต่างประเทศของเรา ยังดำเนินต่อไปได้ แต่ว่าถ้าเผื่อรัฐบาลไม่ปรับนโยบาย หรือมีปัจจัยภายในทําให้เกิดความยุ่งเหยิงทางการเมืองจนยากที่จะทําให้เกิดการผลิตนโยบายต่างประเทศโต้กัมพูชาที่มีเอกภาพมีประสิทธิภาพ มันก็จะเปิดทางให้สําหรับนโยบายป้องกันประเทศใน การต่อสู้กับภัยคุกคามกัมพูชา ซึ่งแรงขับเคลื่อนสําคัญก็จะไปอยู่ที่กองทัพ”
ความเห็นของ อ.ดุลยภาคนั้น ก็สอดคล้องกับ รศ.ดร. ปณิธาน วัฒนายากร นักวิชาการอิสระ ผู้เชี่ยวชาญด้านการต่างประเทศและความมั่นคง ที่มองเช่นกันว่า เราต้อบรุก และตอบโต้ให้ได้สัดส่วนมากขึ้น เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์
รศ.ดร. ปณิธาน วัฒนายากร
“โดยหลักแล้วมาตรการโต้ตอบระหว่างประเทศ จะต้องได้สัดส่วนกับสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้น ที่ผ่านมาอาจจะไม่ได้สัดส่วนเท่าไหร่ อาจจะช้าไปบ้าง เร็วไปบ้าง อาจจะน้ําหนักมากไปบ้าง ยกตัวอย่างเช่น ช่วงที่มีการปะทะเราก็อาจจะไม่ได้มีการประท้วง หรือว่าเรียกทูตกัมพูชาเข้ามาเพื่อยื่นข้อมูลให้อย่างทันที หรือว่าช่วงที่เค้าเดินหน้าไปยังเวทีระหว่างประเทศเราก็อาจจะไม่ได้ไปโต้ตอบ แต่ขณะนี้เราก็ได้ปรับการโต้ตอบให้เป็นสัดส่วนไป
แต่ว่าคงจะต้องทําเพิ่มขึ้น เพราะว่าทางฝั่งกัมพูชาก็เดินหน้าตามนโยบาย 3 ด้านของเขา ไปที่สหประชาชาติ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ รุกเข้าไปในพื้นที่ที่กําลังมีข้อพิพาทกันแล้วก็ใช้นโยบายทางการทูตอาจจะทําให้เราสับสนหรือถ่วงเวลา หรือว่าขัดแย้งกันอย่างเช่น การประชุม JBC ที่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นต่อไปนี้เราก็จะต้องประเมินการเคลื่อนไหวของกัมพูชาให้ละเอียดขึ้นกว่านี้ ในขณะเดียวกันก็ลงพื้นที่ให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ ต้องไม่ลืมประชาชนที่เดือดร้อน ที่จะต้องอาจจะถอยร่นเข้ามา แล้วได้รับผลกระทบจากเรื่องของการควบคุมเวลาของด่านระหว่างกัน เรื่องเหล่านี้ต้องปรับมาตรการให้เหมาะสมในระยะข้างหน้านี้”
อ.ด้านความมั่นคงยังชี้ว่า เรื่องสำคัญที่สุดหลังจากนี้คือ พยายามไม่ให้กองกำลังของทั้งสองฝ่าย เกิดการปะทะกันอีก ซึ่งอาจต้องเร่งการพบกันของคณะกรรมการชายแดนระดับภูมิภาคที่ทหารทั้ง 2 ฝ่าย
“การประชุม Regional Border Committee หรือ RBC ถ้าคุยกันได้เร็วเท่าไหร่ ความปลอดภัยในเรื่องการจะเผชิญหน้ากันก็จะลดลงไป เพราะทหารคุ้นเคยกันอยู่แล้ว แล้วจริงๆ เขา ก็คงไม่อยากจะใช้กําลังปะทะกันเอง จะต้องให้ฝ่ายนโยบายของเราเร่งรัดให้เขาได้พบกัน” ทั้งอาจารย์ยังเสนอว่าฝ่านนโยบาย ไม่ว่าจะรัฐมนตรีกรกระทรวงกลาโหม หรือมหาดไทย ต้องลงพื้นที่บ่อยขึ้น เข้าไปดูแลหมู่บ้านต่างต่างตามแนวชายแดนให้ดีขึ้นนะครับ แล้วก็สุดท้ายก็ต้องหาทางกลับไปคุยกัมพูชา
“ในเรื่องข้อพิพาท เราจะต้องตั้งหลักกันให้ดี คราวหน้าถ้าจะคุยกันก็จะต้องจัดระบบการคุยให้ดี ให้ปลอดภัย แล้วก็ให้ชัดเจนทั้งหมด พอทําแล้ว ศักยภาพไทยก็จะกลับมา ความได้เปรียบก็จะกลับมา แล้วลักษณะของกัมพูชาก็จะอ่อนลงทั้งหมด
ทั้งหมดเหล่านี้ สิ่งนี่เคยเกิดขึ้นมาแล้วนะ 3-4 รอบ เมื่อเรามีปัญหาหนักๆ ก่อนหน้านั้นในปี พ.ศ.2501-2502 เราตัดความสัมพันธ์อย่างสิ้นเชิงเลย แล้วกว่าจะกลับมาได้ก็หลายปี หรือในการลดระดับความสัมพันธ์เมื่อปี พ.ศ. 2546, 2552-53 และก็กลับมาใหม่ได้ แต่ว่าขณะนี้เราได้เรียนรู้แล้ว เราก็ไม่อยากกลับไปจุดตรงนั้น ต้องระวังอย่าให้กลับไปตัดความสัมพันธ์แบบเดิมอีก”
สำหรับวิธการปล่อยคลิปเสียง และหลังจากนั้นก็รูปภาพของนายกฯ แพทองธารออกมานั้น อ.ปณิธานมองว่า การพูดคุยส่วนตัว เป็นการแสดงถึงความสัมพันธ์ที่สนิทกันระหว่างผู้นําจริงๆ ซึ่งโดยพื้นฐานเป็นเรื่องที่ดี แต่การปล่อยคลิปหรือรูปในครั้งนี้ อาจสื่อได้ถึงสองเรื่อง
“หนึ่ง คือพยายามแสดงให้เห็นว่าเค้าสนิทกับเราจริงๆ ถึงแม้ว่เราจะขัดแย้ง แต่ความสนิทเหล่านี้มันคงไม่ได้หายไปไหน แล้วความสนิทนี่ค่อนข้างลึกซึ้ง อันนี้เป็นเรื่องนึง แล้วก็เค้าอาจจะใช้ประโยชน์จากตรงนี้ว่าให้นึกถึงความสัมพันธ์ครั้งเก่าๆ ที่เราต้องพึ่งพาเค้า โดยเฉพาะผู้นํา ซึ่งก็ไม่ได้แปลกอะไร ประชาชนคนไทยรับทราบอยู่แล้ว แต่ว่าได้เห็นภาพชัดเจนขึ้นเท่านั้นเอง
สองคือการต้องการต่อรอง เขาอาจจะเดือดร้อน ได้รับความเจ็บปวดอย่างที่ผมเคยเรียนว่าเมื่อไหร่ที่มีความเจ็บปวด เขาจะต้องตื่นตัวมาหาทางพูดคุยกับเรา แต่เผอิญว่าวิธีการพูดคุยกับเรา อาจจะผิดธรรมเนียมปฏิบัติ ก้าวร้าว และหุนหันพลันแล่นไปหน่อย แต่สักพักเขาก็จะปรับตัวได้ อาจจะต้องอาศัยคนอื่นๆ อย่างเช่น นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นคนที่ทันสมัย เป็นคนรุ่นใหม่ และเป็นคนที่รับการศึกษามาเป็นอย่างดี แล้วก็อาจจะเข้าใจนายกฯ เราที่อายุไล่ๆกับเขาในที่อยู่ในฝ่ายบริหารตรงนั้นก็อาจจะช่วยให้เรามีทางเลือกใหม่ๆขึ้น”
อ.ปณิธานยังสรุปว่า ประเด็นขัดแย้งกับกัมพูชาเป็นเรื่องของชาติ ซึ่งหวังว่าการเมืองภายในจะไม่กระทบจนแก้ปัญหานี้ไม่ได้
“เรื่องปัญหาภายใน เรื่องเกี่ยวกับการเมืองยุบสภาเลือกตั้งใหม่ ปล่อยไปเรื่องการเมืองภายใน แต่อย่าให้มันมากระทบกันแล้วก็ผูกโยงกัน จนทําให้เราไม่สามารถ ที่จะบริหารความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับกัมพูชาได้”
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
