รีเซต

จบทางเสรี! กัญชาไทยถูกควบคุมใหม่ ใช้ได้เฉพาะทางการแพทย์

จบทางเสรี! กัญชาไทยถูกควบคุมใหม่ ใช้ได้เฉพาะทางการแพทย์
TNN ช่อง16
25 มิถุนายน 2568 ( 13:37 )
30

จากนโยบายสู่การควบคุม เมื่อรัฐต้องจัดระเบียบใหม่อีกครั้ง

การปลดล็อกกัญชาในปี 2565 เคยถูกมองว่าเป็นก้าวสำคัญของประเทศไทยในการเปิดรับแนวทางแพทย์ทางเลือก สร้างพืชเศรษฐกิจใหม่ และลดอคติต่อสมุนไพรที่เคยอยู่ในบัญชียาเสพติด แต่เส้นทางของกัญชาเสรีกลับกลายเป็นสนามทดสอบเชิงนโยบายที่รัฐไม่สามารถควบคุมได้ทัน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงสามปีที่ผ่านมา คือบทเรียนที่ชี้ให้เห็นถึงข้อจำกัดของการปฏิบัตินโยบายก่อนที่โครงสร้างทางกฎหมายจะพร้อมรองรับ

จากนโยบายหาเสียงสู่ความจริงเชิงกฎหมาย

ต้นทางของนโยบายกัญชาเสรีเริ่มต้นจากการเลือกตั้งปี 2562 พรรคภูมิใจไทยเสนอให้กัญชากลายเป็นพืชเศรษฐกิจที่ประชาชนสามารถปลูกได้เองในครัวเรือน เพื่อใช้ทางการแพทย์และเพิ่มรายได้ ข้อเสนอที่ขัดแย้งกับแนวคิดเดิมในสังคมไทย กลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองที่ทรงพลัง หลังเข้าร่วมรัฐบาล พรรคสามารถผลักดันให้เกิดการปลดล็อกกัญชาออกจากบัญชียาเสพติดประเภท 5 ในปี 2565

แต่การปลดล็อกครั้งนั้นเกิดขึ้นโดยไม่มีพระราชบัญญัติกัญชาเฉพาะกิจมารองรับ ส่งผลให้ร้านค้ากัญชาเริ่มเปิดตัวอย่างเสรีทั่วประเทศ ภายในเวลาไม่กี่เดือน มีร้านที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์จากกัญชาจดทะเบียนมากกว่า 7,000 แห่งทั่วประเทศ โดยมีการใช้กัญชาในหมู่ประชาชนอย่างกว้างขวางและหลากหลายจุดประสงค์

เมื่อสถิติชี้ปัญหาเริ่มปะทุ

แม้เจตนาของนโยบายจะมุ่งเน้นการแพทย์เป็นหลัก แต่สถิติที่เริ่มปรากฏหลังปลดล็อกกลับชี้ให้เห็นแนวโน้มที่น่ากังวล โดยเฉพาะการใช้ในกลุ่มเยาวชน งานวิจัยหลายชิ้นพบว่า เยาวชนอายุ 18-19 ปีมีอัตราการใช้กัญชาแบบสูบเพิ่มจาก 0.9 เปอร์เซ็นต์ในช่วงก่อนปลดล็อก เป็น 9.7 เปอร์เซ็นต์ภายในเวลาเพียง 3 ปี หรือเพิ่มขึ้นกว่า 10 เท่า

นอกจากนี้ ผลสำรวจพบว่า คนไทยประมาณ 1 ใน 5 เคยใช้กัญชา โดยส่วนใหญ่ใช้เพื่อสันทนาการ แม้จะมีการรับรู้ถึงผลข้างเคียง แต่กลับมีความเข้าใจผิดในเรื่องความเสี่ยงต่อสุขภาพ และการเสพติดในระยะยาว

ด้านผู้ชายมีสัดส่วนการใช้สูงกว่าผู้หญิงอย่างมีนัยสำคัญ โดยใช้เพื่อสันทนาการถึง 14.4 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับผู้หญิงที่ใช้เพียง 0.8 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ตัวเลขเหล่านี้สร้างแรงกดดันต่อภาครัฐในการจัดระเบียบการใช้กัญชาอย่างเข้มงวดมากขึ้น

ร้านค้ากับความเสี่ยงหลังลงทุน

ภายใต้กรอบเดิมที่ไม่มีข้อจำกัดเข้มข้น ร้านค้ากัญชาหลายพันแห่งเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในเขตเมืองใหญ่ที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาใช้บริการจำนวนมาก ร้านค้าหลายแห่งดำเนินการอย่างถูกต้องตามที่ภาครัฐเคยวางแนวทางไว้ มีใบอนุญาต มีการจำกัดอายุผู้ซื้อ และไม่มีการโฆษณาเชิงสันทนาการ

อย่างไรก็ตาม การประกาศล่าสุดจากกระทรวงสาธารณสุขกลับทำให้ผู้ประกอบการจำนวนมากรู้สึกไม่มั่นคง และตั้งคำถามถึงความแน่นอนของกฎหมาย โดยเฉพาะเมื่อการควบคุมใหม่มีผลย้อนหลังไปยังร้านค้าที่เคยทำตามกรอบเดิมอย่างถูกต้อง

กระทรวงสาธารณสุขกลับทิศ ยุติกัญชาเสรี

เมื่อวันที่ 23-24 มิถุนายน 2568 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ลงนามในประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องสมุนไพรควบคุม (กัญชา) พุทธศักราช 2568 ซึ่งถือเป็นจุดจบของนโยบายกัญชาเสรีในทางปฏิบัติ

ประกาศฉบับใหม่นี้ยกเลิกประกาศเดิมปี 2565 ที่เคยเปิดให้กัญชาเสรีบางส่วน และกำหนดให้ “ช่อดอกกัญชา” เป็นสมุนไพรควบคุม ห้ามจำหน่ายเว้นแต่เพื่อการแพทย์ การศึกษาวิจัย หรือการส่งออกโดยได้รับใบอนุญาตจากภาครัฐ นอกจากนี้ยังห้ามโฆษณา การขายออนไลน์ และการจำหน่ายโดยไม่มีใบสั่งแพทย์โดยเด็ดขาด

การใช้กัญชาในเชิงสันทนาการจึงไม่มีพื้นที่หลงเหลืออีกต่อไป และทุกการใช้นับจากนี้ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น

ความเห็นที่แตกต่างระหว่างรัฐและผู้ประกอบการ

ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข นายธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ กล่าวชัดเจนว่า การควบคุมใหม่ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง แต่เกิดจากการร้องเรียนของประชาชนและการพบพฤติกรรมไม่เหมาะสม โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชน

เขาย้ำว่าผู้ป่วยที่ใช้กัญชาอย่างถูกต้องจะไม่ได้รับผลกระทบ แต่ร้านค้าทั่วไปต้องเข้าสู่ระบบ และต้องรู้กฎระเบียบใหม่ให้ชัดเจน

ในทางตรงกันข้าม เจ้าของร้านจำนวนหนึ่งออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน หลายรายระบุว่าลงทุนไปมาก เปิดร้านตามกรอบที่รัฐเคยอนุญาต และดำเนินกิจการด้วยความรับผิดชอบ พวกเขาเรียกร้องให้รัฐมีมาตรการเยียวยา หรืออย่างน้อยให้ควบคุมร้านผิดกฎหมายแทนที่จะควบรวมทุกร้านไว้ภายใต้เงื่อนไขเดียวกัน

ทิศทางที่ต้องตัดสินใจ

การสิ้นสุดของกัญชาเสรีในไทยไม่ได้เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงทางกฎหมาย แต่เป็นสัญญาณว่ารัฐจำเป็นต้องทบทวนกระบวนการออกนโยบายที่อิงจากกระแสสังคมมากกว่าความพร้อมของระบบกฎหมาย

ประเทศไทยยังไม่มีพระราชบัญญัติกัญชาโดยเฉพาะ ขณะที่ปัญหาที่เกิดขึ้นจากสุญญากาศทางกฎหมายในช่วงที่ผ่านมา ยังคงต้องการการแก้ไขในระดับโครงสร้าง ไม่ว่าจะเป็นด้านการสาธารณสุข การศึกษาประชาชน หรือการกำกับดูแลเชิงธุรกิจ

เมื่อถึงจุดที่รัฐต้องเลือกว่าจะเดินหน้าด้วยระบบควบคุมเข้มข้น หรือย้อนกลับไปสู่การแบนอย่างเต็มรูปแบบ ทางออกที่เป็นธรรมต่อทุกฝ่ายยังคงรอการถกเถียงในวงกว้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ข่าวที่เกี่ยวข้อง