“สงครามราคา” หรือ “Collab” ใครจะรอด? ส่องเกมเดือด ตี๋น้อย - MK | มาม่า - ไวไว

กลยุทธ์สงครามราคา (Price War Strategy) และ จับมือร่วมกันข้ามแบรนด์ (Collaboration) ที่ MK ตี๋น้อย มาม่า ไวไว กำลังใช้อยู่เพื่อหวังดึงลูกค้า … อาจมีประโยชน์มากก็จริง แต่หนึ่งในนั้นอาจกลายเป็น กับดัก ที่พังทั้งตลาดได้ ถ้าใช้ไม่เป็น แม้แต่ วอร์เรน บัฟเฟต ก็ไม่เห็นด้วย หรือ คุณคณิณ จากสงครามส่งด่วน… ก็ได้เตือนไว้ “อย่าเริ่มสงครามราคา เพราะถ้าทุกเจ้าลด…ตลาดมันจะพัง” แต่เอาจริงกลยุทธ์สงครามราคานี้ ก็มีข้อดี ถ้าใช้ในเวลาที่เหมาะ และ แต่ละกลยุทธ์จะมีข้อดีอย่างไรบ้าง คนทำธุรกิจต้องรู้ เดี๋ยวโอ๋สรุปให้ฟัง
ในช่วง 3 วันที่ผ่านมา เราได้เห็น กลยุทธ์ที่น่าสนใจของ ธุรกิจไทย แข่งขันกันเดือด ใช้กลยุทธ์ สงครามราคา MK บุฟเฟ่ต์ 299 VS สุกี้ตี๋น้อย 199 เป็นข้อดีผู้บริโภคแน่ๆเพราะจะได้ทานอาหารในราคาที่ถูกลง แต่ในสัปดาห์แรก ฟาก MK อาจตกที่นั่งลำบากกว่า เพราะเจอคอมเม้นท์ลูกค้าพบว่า โปรนี้ ของชอบหมด ขณะที่ ตี๋น้อย อาจได้เปรียบเพราะ เป็นบุฟเฟ่ต์ อยู่แล้ว แต่ก็ต้องยอมลดกำไรลง แต่ก็มีบางคนที่บอกว่าชอบ เพราะสามารถทาน MK ได้ในราคาที่ย่อมเยาว์ขึ้น อย่างไรก็ตามในหมัดแรกนี้คงต้องรอวัดกันต่อว่า ฝ่ายใดจะสมหวังได้ลูกค้าเพิ่มขึ้น มีแต่ผู้บริโภคเป็นคนตัดสิน
แต่ตลาดสุกี้ สวนทางตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ใช้กลยุทธ์ขั้วตรงข้าม คือการ Collaboration ข้ามเเบรนด์ ที่เราจะเห็นว่าจู่ๆ เพจ Mamalover ได้โพสต์เปลี่ยนภาพโปรไฟล์เป็น ภาพโลโก้คู่แข่ง ไวไว พร้อม #แวะกินยี่ห้ออื่นบ้างนะงับ เรียกความสงสัยและเอนเกจเม้นท์ในโซเชียลได้อย่างล้นหลาม จนคนงงกันว่า เขาควบรวมกิจการกันหรือ?
จากคู่แข่ง เป็นคู่ค้า มาม่า ไวไว ประกาศจับมือกันไม่ลดราคา แต่ขอสู้ด้วย ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ แบบที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน ซึ่งเป็นความตั้งใจของเหล่าผู้บริหารตลาดนี้ ที่มองว่าไม่จำเป็นต้องหั่นราคา แข่งกันเสมอไป จับมือกัน ดันตลาดให้คึกคัก ทุกแบรนด์มีสิทธิ์โตหมด และลูกค้ามีสิทธิเลือก สินค้าที่พวกเขาพึงพอใจ ยิ่งจับมือร่วมกันไม่ลดราคา เท่ากับว่า แต่ละแบรนด์สามารถเร่งแข่งขันกันสร้างความต่าง ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆที่มีไอเดียมากขึ้น ตอบโจทย์ลูกค้าได้มากขึ้น แม้จะได้กำไร หรือ เติบโตในภาพรวมช้ากว่า และไม่มีใครได้กำไรแตกต่างกันมากนัก แต่ในระยะยาว มันจะเป็นการผลักดันให้อุตสาหกรรมนั้นๆเติบโตไปด้วยกันทั้งระบบ
แต่ไม่ว่าจะกลยุทธ์ 1 หรือ 2 ล้วนมีข้อดี และ ข้อควรระวังในตัวเอง ไม่ใช่กลยุทธ์ใหม่ แต่ถูกใช้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนในโลกของการตลาด หลายยุค หลายสมัย เพียงแต่ผลพวงของซีรีส์ดัง สงครามส่งด่วน ได้เกิดวลีเด็ด ที่กินใจเหล่า SME นับครั้งไม่ถ้วนว่า “อย่าเริ่มสงครามราคา เพราะถ้าทุกเจ้าลด…ตลาดมันจะพัง” ทำให้หลายคนเริ่มสงสัยในส่วนของ กลยุทธ์สงครามราคา ที่ 2 รายใหญ่แห่งสุกี้ไทย หยิบมาสู้กันในครั้งนี้ จะได้ผลหรือไม่ มีข้อดี และ ข้อควรระวังไว้เป็นกรณีศึกษาเอาไว้ก่อนหรือไม่ มาดูไปพร้อมๆกัน
กลยุทธ์สงครามราคา มีทั้งข้อดี และ เป็นดาบ 2 คม (Price War Strategy) คืออะไร ?
การแข่งขันลดราคา ระหว่างแบรนด์ ในตลาดเดียวกัน
เมื่อทุกเจ้าลด ก็ไม่มีใครได้เปรียบ ตลาดพัง ราคาต่ำลงมา กำไรที่จากเดิมเคยได้ ก็ไม่มีใครได้ แถมจะอัพราคากลับไปเท่าเดิมก็จะยาก เพราะผู้บริโภคที่ประสบการณ์ เข้าถึงได้ในราคาต่ำไปแล้ว
ข้อดี
- มีโอกาสดึงลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ
- มีโอกาสเพิ่มยอดขายระยะสั้น
- สร้างการรับรู้แบรนด์ได้ไวขึ้น
- มีโอกาสเอาชนะคู่แข่งที่ไม่ยอมปรับตัว หรือ ไม่เจ๋งจริง
ข้อควรระวัง
- กำไรหาย มีโอกาสเข้าเนื้อ เพราะต้นทุนเท่าเดิม
- เสียภาพลักษณ์ จากของดี จะถูกมองเป็น ของถูก ได้
- ไม่ได้ทำให้ลูกค้าเกิดความ Royalty ในระยะยาว หมดแคมเปญ เขาก็ไป
- ทำลาย ราคาตลาด ให้เสียหาย ถ้าเจอคู่แข่งบ้าเลือด สุดท้ายตลาดพัง
- คุณภาพสินค้าอาจด้อยลง เพราะต้องทำราคา มากกว่าคุณภาพ
ควรใช้เมื่อไหร่ที่จะทำให้ “ เราได้เปรียบ ”
1.เปิดตัวใหม่ อยากแย่งตลาดจาก เจ้าใหญ่
เพื่อดึงให้ลูกค้า มาลอง ของเราดี ลูกค้าเกิดติดใจ เกิด royalty ได้
2.อยากระบาย stock สินค้าค้าง ปิดล็อตเก่า
แต่ต้องกำหนดชัดว่า จะออกจากแคมเปญนี้เมื่อไหร่
3.ใช้สร้างปรากฎการณ์ ชิงพื้นที่ข่าว หรือ กระแส
4.ตีหัวคนเข้าบ้าน ตะกั่วถูก แต่ทองยังราคาเดิม คือ มีของถูกเอาไว้ดึงลูกค้า
แต่ยังมีสินค้าที่ขายราคาสูงที่ยังให้กำไร เพื่อมาถัวเฉลี่ยกัน
แต่ยังไงก็ตาม มหาเศรษฐี วอร์เรน บัฟเฟต ได้เคยออกมาพูดว่า ตัวเขานั้นไม่แนะนำให้เจ้าของธุรกิจทำ สงครามราคา และแนะนำว่า หากคู่แข่งปรับลดราคา สิ่งที่ควรทำ คือ การตรึงราคา และ ใช้กลยุทธ์การตลาดต่อไปนี้ สู้กลับ
ดูแลเชื่อมสัมพันธ์กับลูกค้า : เพราะลูกค้ามักกลับมาซื้อสินค้าที่เขา คุ้นเคย มากกว่าแบรนด์ใหม่ที่เขาไม่รู้จัก แบรนด์ต้องเร่งสื่อสารลูกค้าเก่าอย่าง
จริงใจ ให้ความรู้สึกคุ้นเคย อบอุ่น และคุ้มค่าหาช่องทางขายที่ดี : เพราะเวลา คือสิ่งที่มีค่ามากกว่า ส่วนลด
ดังนั้น สินค้า อาจไม่ต้องราคาถูก แต่ถ้า หาซื้อได้สะดวก ลูกค้ายอมจ่าย
มุ่งสร้างความแตกต่าง: ทำไมลูกค้าต้องซื้อของคุณ
ความแตกต่าง คือสิ่งที่ทุกๆแบรนด์ควรมองหา และ ขยายมันให้ชัด เพราะหากสินค้าคุณแตกต่างไม่ว่าจะตั้งราคาสูงแค่ไหน ลูกค้าก็จะยอมจ่าย ในสิ่งที่เขาไม่สามารถ หาได้จากแบรนด์อื่น
แม้สุดท้ายจะยังไม่รู้แน่ว่า กลยุทธ์ใดจะมัดใจลูกค้าได้ผลในยุคเศรษฐกิจแบบปัจจุบัน ที่ผู้บริโภคมองหาความคุ้มค่า แต่ก็ต้องการประสบการณ์ที่ดีที่สุด อย่างไรก็ตามผู้บริโภคจะเป็นคนบอกเอง เพียงแต่ทั้ง แต่สุดท้ายโอ๋ยังเชื่อมั่นว่า หากคุณทำสินค้าได้มาตรฐาน ตรงใจกลุ่มเป้าหมาย มีราคาสมเหตุสมผล โดดเด่นแตกต่าง ถ้ามีคุณสมบัติเหล่านี้ยังไงสินค้าคุณก็ยังเป็นที่ต้องการ ไม่ว่าจะในสภาพเศรษฐกิจแบบไหน
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
