อาการ "ไขกระดูกสันหลังอักเสบ" ทำไม?ทำให้อดีตมือกลอง Slipknot เสียชีวิต
กลายเป็นเทรนด์ฮอตประจำวันจากข่าว สาวกนูเมทัลสุดเศร้า "โจอี้ จอร์ดิสัน" อดีตมือกลอง Slipknot เสียชีวิตแล้ว มีการสันนิษฐานกันว่าน่าจะมาจากโรคประจำตัวของเขานั่นเอง โดยหลายปีก่อนทางด้านของ "โจอี้" มีอาการป่วยจากอาการไขกระดูกสันหลังอักเสบซึ่งเป็นอาการที่สะสมมาอย่างยาวนานจากการใช้แรงในการตีกลองกระทั่งทำให้บทบาทในการเป็นมือกลองของเขาจต้องจบลง วันนี้ trueID พาไปรู้จักกับ "อาการไขสันกระดูกหลังอักเสบ" ว่าทำไมถึงมีผลทำให้มือกลองของวงดังกล่าวต้องจบชีวิตลง
สาเหตุของอาการ "ไขกระดูกสันหลังอักเสบ"
ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุการเกิดโรคที่ชัดเจน แต่ปัจจัยที่อาจมีส่วนทำให้เกิดโรค ได้แก่ กรรมพันธุ์ ชนชาติ (คนไทยพบน้อย) เชื้อไวรัสบางชนิด (เชื้ออีบีวี) ระดับวิตามินดีในเลือดต่ำ การสูบบุหรี่ เป็นต้น โรคนี้มักเกิดในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย พบบ่อยในวัยเจริญพันธุ์ อายุเฉลี่ย 20-40 ปี
ไขกระดูกสันหลังอักเสบ เป็นโรคที่มีอาการอักเสบของปลอกหุ้มเส้นประสาทในไขสันหลัง สาเหตุเกิดจากการติดเชื้อไวรัส หรือภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติเข้าทำลายไขสันหลัง หรืออาจเกิดภายหลังการติดเชื้อ อาทิ โรคติดเชื้อไวรัส โรคทางภูมิคุ้มกันต้านทานโรคผิดปกติ เช่น โรคเอสแอลอี โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง การได้รับวัคซีน เช่น วัคซีนโรคหัด โรคคางทูม โรคไขสันหลังอักเสบส่วนใหญ่จะพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
อาการและอาการแสดง
- ผู้ป่วยจะมีอาการแขนขาอ่อนแรง ชา
- มีอาการผิดปกติของระบบขับถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ โดยบางรายจะมีอาการแสบร้อน การควบคุมขับถ่ายอุจจาระปัสสาวะผิดปกติ อาจเป็นเบ่งปัสสาวะอุจจาระไม่ออกหรือถ่ายราด กลั้นไม่อยู่
- มีอาการคล้ายมีอะไรมารัดตามตัว
- มีอาการเกร็งของกล้ามเนื้อคล้ายเป็นตะคริว
การป้องกัน
ภาวะปลอกหุ้มเส้นประสาทไขสันหลังอักเสบที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสนั้น ไม่สามารถป้องกันได้โดยตรง อาจป้องกันโดยการรักษาสุขอนามัยเพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัส โดยผู้ป่วยจะต้องมีการดูแลตนเองที่ดีเมื่อเป็นโรคไขสันหลังอักเสบ คือ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ทำกายภาพบำบัด ฝึกการขับถ่ายตามแพทย์แนะนำ ดูแลอย่าให้ท้องผูก ป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ ทานยาให้ครบถ้วน ไม่ขาดยา และควรไปพบแพทย์ทันทีเมื่อมีอาการแขนขาอ่อนแรงมากขึ้น
การรักษา
- ถ้าเกิดจากการติดเชื้อไวรัสต้องให้ยาต้านไวรัส
- แต่หากเกิดจากภูมิคุ้มกันผิดปกติในระยะเฉียบพลัน จำเป็นต้องได้รับยาสเตียรอยด์ขนาดสูงทางหลอดเลือดดำ ถ้าอาการไม่ดีขึ้นต้องได้รับการเปลี่ยนถ่ายพลาสมา
- สำหรับการรักษาในระยะยาวขึ้นอยู่กับผลของการตรวจเลือด ถ้าพบว่ามีการกำเริบของโรคจะมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำสูง ผู้ป่วยกลุ่มนี้จำเป็นต้องได้รับยากดภูมิคุ้มกัน เป็นเวลาอย่างน้อย 3-5 ปี
- ส่วนในกรณีที่เป็นโรคไขสันหลังอักเสบแต่ไม่พบการกำเริบของโรค ผู้ป่วยจะได้รับยากดภูมิคุ้มกันเพียงระยะสั้น 6 เดือน เนื่องจากยากดภูมิคุ้มกันมีผลข้างเคียง เช่น การติดเชื้อ เบาหวาน ไขมันสูง กระดูกพรุน เป็นต้น
การดำเนินโรค
มักมีการกำเริบเป็นพักๆ โดยอาการอาจเป็นรูปแบบเดิมหรือเกิดอาการใหม่ ที่แตกต่างจากลักษณะเดิมได้ ซึ่งเกิดจากรอยโรคที่ตำแหน่งใหม่ การกำเริบมักเกิดในช่วงปีแรกๆของโรค เฉลี่ยกำเริบประมาณปีละครั้งหรือสองปีต่อครั้ง เมื่อเป็นมานานอาการกำเริบมักจะเป็นห่างขึ้น ในแต่ละครั้งที่โรคกำเริบ อาการมักจะดีขึ้นได้เองหรือดีขึ้นจากยาสเตียรอยด์ อาการจะค่อยๆดีขึ้นในเวลาเป็นสัปดาห์ถึงเป็นเดือน
ผู้ป่วยส่วนหนึ่งสามารถฟื้นตัวจนหายกลับเป็นปกติ บางรายฟื้นตัวดีขึ้นเพียงบางส่วน ไม่หายกลับเป็นปกติ ทำให้เกิดความทุพพลภาพขึ้น เมื่อมีการกำเริบของโรคในแต่ละครั้งแล้วไม่สามารถฟื้นตัวได้เท่าปกติ อาจจะเพิ่มความทุพพลภาพแก่ผู้ป่วยมากขึ้นเรื่อยๆได้ เมื่อเวลาผ่านไป ความผิดปกติทางระบบประสาทของผู้ป่วยบางรายจะค่อยๆสะสมมากขึ้น ผู้ป่วยส่วนหนึ่งมีอาการเลวลงอย่างต่อเนื่อง ไม่มีช่วงที่ดีขึ้นได้ ซึ่งพบเป็นส่วนน้อย
ข้อมูล : สสส , คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล
ภาพโดย Gundula Vogel จาก Pixabay
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
- โรคความดันโลหิตสูง ต้องเตรียมตัวฉีดวัคซีนโควิด-19 อย่างไร
- โรคอัลไซเมอร์ กับ ภาวะสมองเสื่อม เหมือนกันหรือไม่ เป็นแล้วฉีดวัคซีนโควิดได้ไหม?
- “เบาหวาน-ความดัน-โรคหัวใจ” กลุ่มโรค NCDs ที่ร้ายแรงกว่าโควิด-19
- คนป่วยโรคหัวใจ แต่อยาก 'เชียร์โอลิมปิก' ได้ไหม?