ครม.สั่ง“ค่ายมือถือ-แบงก์“ร่วมรับผิดชอบความเสียหายแก่ลูกค้าจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์

ครม.สั่ง“เครือข่ายมือถือ-แบงก์“ร่วมรับผิดชอบความเสียหายแก่ลูกค้าจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยอนุมัติแก้ไขพ.ร.ก. มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มอำนาจให้หน่วยงานกำหนดโทษและการคืนเงิน คาดประกาศใช้เร็วสุดเดือนก.พ.นี้
#ทันหุ้น นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี(ครม.)อนุมัติการแก้ไขพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี กำหนดให้สถาบันการเงินและเครือข่ายมือถือต้องร่วมรับผิดชอบความเสียหายจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ด้วย คาดว่า สามารถประกาศใช้ได้ภายในกุมภาพันธ์นี้
“ครม.เห็นชอบ ตามที่กระทรวงดีอีเสนอในการแก้ไขพระราชกำหนดดังกล่าว โดยมีเหตุผลเป็นเรื่องเร่งด่วน โดย พ.ร.ก. ฉบับเดิมปี 2566 ยังขาดอำนาจหน้าที่และการกำหนดโทษหลาย ๆ ประเด็นโดยเฉพาะอำนาจการดำเนินการกับบัญชีม้าบนแพลตฟอร์ม P2P, อำนาจการคืนเงินให้กับประชาชน, และการรับผิดร่วมของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด“
ทั้งนี้ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ชี้แจงในครม.ว่า หาก ครม.พิจารณาแล้วเห็นว่าการกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเป็นกรณีฉุกเฉิน ที่มีความจำเป็นรีบด่วนอันมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้ และเพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความปลอดภัยสาธารณะและความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ ย่อมสามารถพิจารณาอนุมัติหลักการร่าง พ.ร.ก.
โดยร่างพ.ร.ก.ดังกล่าวจะส่งผลให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา และให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา รับร่าง พ.ร.ก.ไปพิจารณาปรับรูปแบบ โดยให้รับความเห็นหน่วยงานไปประกอบการพิจารณา
สำหรับร่าง พ.ร.ก. ฉบับนี้ หลังครม. เห็นชอบ และมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วจะมีผลบังคับใช้ทันที ซึ่งเลขาธิการกฤษฎีกา ระบุจะใช้เวลาไม่เกิน 30 วัน คาดว่า ประกาศบังคับใช้ได้ในเดือนกุมภาพันธ์ หรือเดือนหน้านี้
พ.ร.ก. ฉบับนี้ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์หรืออาชญากรรมไซเบอร์ในรูปแบบต่าง ๆ ประกอบกัน เนื่องจากกฎหมายนี้เป็นหนึ่งในมาตรการดำเนินการอีกทั้งยังมีมาตรการอื่นอีก เช่น การทำงานร่วมกับต่างประเทศในการทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่มีฐานที่ตั้งบริเวณชายแดน ถือเป็นความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน
ทั้งนี้ ในการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านดิจิทัลครั้งล่าสุดได้นำเสนอเรื่องนี้เป็นรายงานในที่ประชุม ซึ่งทุกประเทศก็เห็นพ้องในการยกระดับร่วมกันและถือว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ การหลอกลวงในโซเชียล เป็นภัยที่ทุกประเทศต้องตระหนัก จึงต้องทำงานร่วมกัน
ตั้งแต่เดือน ต.ค.2566- พ.ย.2567มีจำนวนคดีออนไลน์รวม 402,542 คดี คิดเป็นมูลค่าความเสียหายรวม 42,662 ล้านบาท
สำหรับสาระสำคัญของ ร่างแก้ไข พรก.ดังกล่าว มี 4 ประการ คือ
1. ห้ามการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลผ่านแพลตฟอร์ม Peer-to-Peer Lending (P2P)โดยห้ามให้บริการซื้อขายหรือแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลประเภทคริปโทเคอร์เรนซีโทเคนดิจิทัลเพื่อการใช้ประโยชน์ในทางพาณิชย์ และให้ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลมีหน้าที่ปฏิเสธการเปิดบัญชีและระงับการให้บริการหรือการทำธุรกรรมกับ ลูกค้าที่มีรายชื่อหรือใช้กระเป้าสินทรัพย์ดิจิทัลที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ลดปัญหาการฟอกเงินโดยนำมาเปลี่ยนเป็นเงินสกุลดิจิทัล)
2. ให้ สนง.กสทช. หรือผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือมีหน้าที่สั่งระงับการให้บริการเลขหมายโทรศัพท์สำหรับบริการโทรศัพท์มือถือเป็นการชั่วคราวเมื่อพบเหตุอันควรสงสัย
3. ให้สถาบันการเงินหรือผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ ผู้ให้บริการอื่นที่เกี่ยวข้องหรือสื่อสังคมออนไลน์มีส่วนรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้นกับผู้เสียหาย ที่ถูกหลอกลวงจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหากหน่วยงานดังกล่าวไม่ได้ใช้ความระมัดระวังที่พึงปฏิบัติในวิชาชีพ
4. ให้อำนาจแก่คณะกรรมการธุรกรรมตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเป็นผู้พิจารณาคืนเงินให้แก่ผู้เสียหาย โดยไม่ต้องรอให้มีการยื่นฟ้องคดีต่อศาลเพื่อพิจารณามีคำสั่งถึงที่สุดก่อน