รีเซต

เศรษฐกิจจีนครึ่งหลังของปี 2025 จะไปทางไหน? (ตอน 3)

เศรษฐกิจจีนครึ่งหลังของปี 2025 จะไปทางไหน? (ตอน 3)
TNN ช่อง16
20 สิงหาคม 2568 ( 14:02 )
7

เศรษฐกิจจีนในช่วงครึ่งหลังของปีจะเป็นเช่นไร และ ดร. สมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดีสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ กล่าวในงาน “เอ็กคลูซีฟดินเนอร์ทอล์ก” สัปดาห์แรกของ China Wealth รุ่นที่ 2 ไว้อย่างน่าสนใจในอีกหลายประเด็น ไปติดตามกันต่อกันเลยครับ ...

ผมขอนำท่านผู้อ่านกลับไปที่เรื่องใหญ่ที่เป็นปัญหาคาราคาซังของจีนมานานหลายปี ได้แก่ วิกฤติ “อสังหาริมทรัพย์” ที่เป็นแหล่งรวม “ความมั่งคั่ง” สำคัญของครัวเรือนจีน และดูเหมือนจีนได้ก้าวผ่านยุคของ “ความรุ่งเรือง” ของอสังหาริมทรัพย์ที่คนจีนเคยเชื่อว่า “ซื้อเป็นรวย”

ภายหลังความพยายามของรัฐบาลจีนในการพลิกฟื้นความเชื่อมั่นของประชาชนจีนต่อเศรษฐกิจและตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงหลายปีหลัง และทำให้ราคาบ้านใหม่และบ้านมือ 2 มีเสถียรภาพมากขึ้นโดยลำดับ จนสามารถ “หยุดเลือด” ได้ระยะหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองระดับที่ 1-2 แต่กลับเป็นว่าในช่วง 2-3 เดือนหลังนี้  ราคาอสังหาริมทรัพย์โดยรวมของจีนส่งสัญญาณการชะลอตัวอีกครั้ง 

ดังนั้น ในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 ต่อไปถึงปี 2026 เราอาจได้เห็นรัฐบาลจีนออกนโยบายและมาตรการใหม่บนพื้นฐานของ “โมเดลใหม่” อีกหลายระลอก 

ทั้งนี้ ในการประชุมใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้า ที่ประชุมอาจพิจารณาให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างเสถียรภาพและการฟื้นตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในระยะยาว 

รัฐบาลจีนมี “ทางเลือก” อยู่หลากหลายมาก อาทิ การส่งเสริมการขยายชุมชนเมืองครั้งใหม่ (Re-Urbanization) การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายและการลดสัดส่วนสำรองเงินสดธนาคารพาณิชย์อีกระลอกหรือมากกว่า และการใช้ระบบ “บัญชีขาว” (White List) ในการปลดล็อกโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ดี

หรือแม้กระทั่งการให้เงินอุดหนุนสำหรับการซื้อที่อยู่อาศัยส่วนเกินที่เริ่มจากการใช้เป็นสวัสดิการแก่กลุ่มพนักงานของรัฐ อาจขยายต่อไปยังกลุ่มคนหนุ่มสาวที่มีความสามารถพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มที่ต้องการโยกย้ายถิ่นฐานไปยังเมืองรองระดับล่างและพื้นที่ชนบท ซึ่งเป็นทิศทางของนโยบายใหม่ในแผนพัฒนา 5 ปีฉบับที่ 15 (2026-2030) และฉบับที่ 16 (2031-2035)

ประเด็นนี้สอดคล้องกับการคาดการณ์ของ ดร. สมภพ ที่ระบุว่า จีนจะผ่อนคลายกฎระเบียบเพื่อสร้างกระแสการพัฒนาชุมชนระลอกใหม่อีกครั้งเพื่อช่วยแก้ไขปัญหา “อุปทานส่วนเกิน” ด้านอสังหาริมทรัพย์และขยายภาคการบริโภคไปพร้อมกัน

นอกจากนี้ ในช่วงเวลาดังกล่าว จีนจะเดินหน้าปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไปพร้อมกัน ดร. สมภพ มองว่า จีนจะให้ความสำคัญมากขึ้นกับการขยาย “ภาคบริการ” อย่างจริงจัง คล้ายกับที่สหรัฐฯ ทำในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จึงไม่น่าแปลกใจที่เราจะเห็นการผลักดันการพัฒนาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ บันเทิง กีฬา บริการอาหาร และการดูแลรักษาสุขภาพ รวมไปถึงการขยายตลาดทุน

การจัดระเบียบและส่งเสริม “ระบบนิเวศ” ของตลาดเงินและตลาดทุนครั้งหลังสุดทำให้นักลงทุนจีนและต่างชาติเริ่มหันกลับมามองตลาดทุนมากขึ้น ทั้งนี้ เราสังเหตเห็นตลาดหุ้น A-Share ของจีนขยับตัวสูงขึ้นนับแต่ต้นปี 2025 และสร้างประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญ โดยมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดโดยรวมพุ่งทะลุ 100 ล้านล้านหยวนเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม ศกนี้

ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจสารสนเทศให้ความเห็นว่า ปรากฏการณ์ในครั้งนี้ได้รับอานิสสงค์จากความก้าวหน้าในหลายด้าน อาทิ ปัญญาประดิษฐ์ บิ๊กดาต้า และการเปลี่ยนแปลงทางดิจิตัลในวงกว้าง  

แม้กระทั่ง “หนุ่มสาวจีนเริ่มขายทองคำที่มีราคาสูง และ “ปรับพอร์ต” หันไปลงทุนในตลาดทุนมากขึ้น เราจึงเห็นตลาดทุนของจีนเริ่ม “จุดติด” ซึ่งสะท้อนถึงความพยายามของจีนในการพัฒนาให้ตลาดทุนเป็นเครื่องยนต์เศรษฐกิจใหม่ และคาดว่าจีนจะก้าวต่อไปสู่อุตสาหกรรมการเงินในอนาคต” ดร. สมภพ กล่าว

ทั้งนี้ ผมยังเชื่อว่าจีนจะยังพยายามรักษาสถานะความเป็น “โรงงานของโลก” ไว้ต่อไป แต่ปรับเปลี่ยนเหมือนในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมาจากอุตสาหกรรมแรงงานไร้ฝีมือเข้มข้นในระยะแรกหลังการเปิดประเทศสู่ภายนอก เป็นแรงงานกึ่งฝีมือ แรงงานฝีมือ และสู่เทคโนโลยีเข้มข้นในระยะหลัง 

ทิศทางในอนาคตของฐานการผลิตของจีนจึงน่าจะขยับไปอยู่ที่นวัตกรรมเข้มข้นเพื่อให้สามารถเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจในระดับที่สูงขึ้น ซึ่งจะมีส่วนสำคัญที่ผลักดันให้จีนก้าวขึ้นเป็นประเทศพัฒนาแล้วในที่สุด

ประการสำคัญ ดร. สมภพ ยังให้ข้อคิดไว้อย่างสนใจว่า ในทางกลับกัน สหรัฐฯ ในสมัยของประธานาธิบดีทรัปม์ ที่ดำเนินนโยบายและมาตรการที่ “ย้อนยุค” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง America First และ Make America Great Again กำลังนำสหรัฐฯ ไปสู่การปรับโครงสร้างครั้งใหญ่สู่เศรษฐกิจที่ “พึ่งพาทรัพยากร” (Resource-Based) และ “การผลิตสินค้า” (Production-Based) 

ด้วยเหตุนี้ เราจึงเห็นความพยายามในการพัฒนาและส่งออกสินค้าเกษตร พลังงาน (น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ) และแร่ธาตุธรรมชาติ (เหล็ก อะลูมิเนียม แร่หายาก และอื่นๆ) และดึงเอาภาคการผลิตสินค้าเป้าหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมอู่เรือ ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ ไอที (เซมิคอนดักเตอร์ ชิป และอื่นๆ) และแบตเตอรี่ รวมทั้งยาและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ กลับไปตั้งฐานที่สหรัฐฯ เป็นต้น

แต่เราห้ามไป “ดูแคลน” ความคิดของผู้นำสหรัฐฯ เด็ดขาดเพราะการดำเนินการดังกล่าวไม่เพียงสามารถตอบสนองต่อมิติในเชิงพาณิชย์และสังคมเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมไปถึงมิติเชิงยุทธศาสตร์ หรือนี่อาจเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนที่สุดเท่าที่เคยมีมาว่า โลกกำลังเดินหน้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 3 ในอนาคต 

เพราะอุตสาหกรรมดังกล่าวล้วนซ่อนไว้ซึ่งประโยชน์ในด้าน “ความมั่งคง” แต่การจะทำให้ “ความฝัน” ดังกล่าวเกิดเป็นรูปธรรมก็ไม่ใช่เรื่องง่าย นั่นนำไปสู่ “คำถามตัวโต” ที่รออยู่ แม้กระทั่งผู้บริหารของบริษัทข้ามชาติจำนวนมากก็พร้อมใจกัน “สุมหัว” ว่าจะ “กลับบ้าน” หรือ “รอเวลา” สภาพเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และผลการเลือกตั้งกลางเทอมในช่วงสิ้นปี 2026 อาจจะเป็น “คำตอบ” ที่ผู้ที่เกี่ยวข้องต่างจับตาดูอย่างใกล้ชิด 

และมีเหตุการณ์อื่นอีกหรือไม่ที่จะทำให้เราต้องให้ความสนใจในช่วงครึ่งหลังของปปี ผมคิดว่า การหา “ทางลง” ของสงครามการค้า 2.0 ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เราไม่อาจมองข้าม 

ในกรณีของจีน การส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ ที่เป็นเสมือน “จุดสว่าง” ทางเศรษฐกิจหนึ่งเดียวในปีที่ผ่านมา ดูเหมือนจะเป็นหลอดไฟ “ใกล้ขาด” ที่ส่องแสง “จ้า” และ “ดับ” สลับกันไปในปีนี้ โดยการส่งออกและเศรษฐกิจมหภาคของจีนที่เติบโตในอัตราที่ลดลงในช่วงไตรมาสที่ 2 เป็นสัญญาณเตือนภัยต่อการชะลอตัวของการค้า การลงทุน และเศรษฐกิจโดยรวมของโลก ซึ่งเป็นผลมาจากสงครามการค้า 2.0 เป็นสำคัญ

อย่างไรก็ดี ขณะที่ผมกำลังปั่นต้นฉบับอยู่นี้ ก็ทราบว่า สหรัฐฯ และจีนเลื่อนการพิจารณากำหนด “อากรต่างตอบแทน” (Reciprocal Tariff) ระหว่างกันออกไปอีก 90 วัน ซึ่งทำให้การส่งออกของจีนไปยังตลาดสหรัฐฯ กลั[มา “คึกคัก” ในชั่วข้ามคืนหลังการประกาศขยายระยะเวลา

ผมจึงคาดว่า การส่งออกของจีนไปตลาดสหรัฐฯ จะ “ขยับตัวแรง” ในช่วงไตรมาสที่ 3 ซึ่งเป็นช่วงการสต็อกสินค้าเพื่อรองรับฤดูกาลจับจ่ายใช้สอยสำคัญสำหรับเทศกาลคริสต์มาส 

สถานการณ์ในอนาคตจะเป็นเช่นไร ติดตามต่อตอนหน้าครับ ...

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง