MTC โบรกฯ ชูหุ้นเด่นในกลุ่มฯ อัพกำไร 3 ปี เติบโตเฉลี่ย 24.9%
#ทันหุ้น - บล.ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ออกบทวิเคราะห์ บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC ระบุจาก Credit rating ในระดับ A- ของ Fitch ซึ่งดีกว่า 1 notch เมื่อเทียบกับ BBB+ ของ TRIS เป็นบวกต่อต้นทุนการกู้ยืมที่จะลดลงในปี 2568-69 โดยคาดกำไรสุทธิปี 2567-69 จะโต 24.9% CAGR สูงที่สุดในกลุ่มบริษัทการเงินที่ฝ่ายวิจัยทำการศึกษา คงคำแนะนำซื้อและเลือกเป็นหุ้นเด่น หลังปรับราคาเป้าหมายเป็นปี 2568 ที่ 62 บาท
Fitch ให้ National L-T rating ระดับ A
Fitch Ratings จัดระดับ Credit rating ของ MTC เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 12 ก.ย. 2567 โดยให้ Long-Term Issuer Default Rating (IDR) ที่เป็นสกุลเงินต่างประเทศในระดับ BB และ National Long-Term Rating ที่เป็นสกุลเงินบาทในระดับ A-(tha) พร้อมแนวโน้ม Stable สำหรับทั้งสอง Credit rating นอกจากนี้ในวันที่ 13 ก.ย. 2567 S&P Global Ratings ยังให้ Long-term issuer credit rating (ตราสารหนี้กลุ่ม high-yield; มีความเสี่ยงน้อยลงในระยะสั้นแต่เผชิญกับความไม่แน่นอนอย่างต่อเนื่องที่สำคัญต่อธุรกิจและสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่พึงประสงค์) ในระดับ BB- พร้อมแนวโน้ม Stable โดยระบุว่า MTC จะบริหารคุณภาพสินทรัพย์และต้นทุนความเสี่ยงในการปล่อยสินเชื่อให้ค่อย ๆ ดีขึ้นอย่างยั่งยืนในช่วง 12-24 เดือนข้างหน้า
เป็นบวกต่อต้นทุนในการก้ยูืมใหม่
จากการเปิดเผยของ MTC International Credit rating ของ S&P สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ระยะยาวของบริษัทฯ ในการเป็นผู้ให้บริการ Microfinance ระดับสากล โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับแหล่งเงินทุนจากต่างประเทศที่มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ฝ่ายวิจัยมีมุมมองบวกต่อ Long-term Thai baht-denominated bond credit rating ในระดับ A- ที่ Fitch Ratings ให้ ทั้งนี้ Rating ดังกล่าวจะช่วยลดต้นทุนทางการเงินของ MTC สำหรับการออกตราสารหนี้สกุลบาท และการกู้ยืมในประเทศจากสถาบันการเงินในอนาคตโดย Credit spread ระหว่าง BBB+ (ซึ่ง TRIS ให้ในปัจจุบันและไม่เคยเปลี่ยนแปลงมาตั้งแต่ปี2019) และ A- ล่าสุดอยู่ที่ระดับสูงกว่า 100bps
อัพกำไรปี 2568-69 โตที่ 24.9% 3YR CAGR
ฝ่ายวิจัยปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2568-59 ขึ้น 3.6-4.5% เพื่อสะท้อนต้นทุนในการกู้ยืมที่ลดลงจากการกู้ยืมใหม่ๆ ทั้งการออกตราสารหนี้และการกู้ยืมจากสถาบันการเงิน ส่งผลให้คาดการณ์การเติบโตของกำไรสุทธิจะเพิ่มเป็น 24.9% CAGR ในช่วงปี 2567-69 เทียบกับ 23.1% ก่อนหน้า นับว่าสูงที่สุดในกลุ่มบริษัทการเงินที่ฝ่ายวิจัยศึกษา
โดยมีปัจจัยหนุนสำคัญประกอบด้วย 1) การเติบโตของสินเชื่อเฉลี่ยที่ 14.7-19.5% ต่อปี (จากการเปิดสาขาใหม่เชิงรุกในปี 2565-66 และประสิทธิภาพของสาขาที่สูงขึ้น) โดยจะมุ่งเน้นไปที่สินเชื่อประเภทมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน; 2) ต้นทุนความเสี่ยงในการปล่อยสินเชื่อ (Credit cost) ที่คาดว่าจะค่อยๆ ลดลงเป็น 2.67% ในปี 2569; และ 3) Loan spreads ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นในปี 2568-69
คงคำแนะนำซื้อเลือกเป็นหุ้นเด่น เป้าปี 68 ที่ 62 บ.
ฝ่ายวิจัยคงคำแนะนำซื้อและเลือกเป็นหุ้นเด่นหลังปรับราคาเป้าหมายไปเป็นปี 2568 ที่ 62 บาทจากปี 2567 ที่ 50 บาท (GGM) ซึ่งคิดเป็นค่า P/BV ที่ 2.91x (จาก 2.82x) และ P/E ที่ 16.1x ภายใต้สมมติฐาน L-T ROE ที่ 19.0% (จาก 18.6%) และ COE ที่ 10.0%