รีเซต

รถญี่ปุ่นยังเหนื่อย! เมื่อ "จีน" ไล่บี้หนักในสนามโลก

รถญี่ปุ่นยังเหนื่อย! เมื่อ "จีน" ไล่บี้หนักในสนามโลก
TNN ช่อง16
29 กรกฎาคม 2568 ( 16:50 )
14

ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมยานยนต์มองว่า ยังไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์สำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์ของญี่ปุ่น แม้ว่าผลกระทบต่อผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่น จะบรรเทาลง จากผลสรุปของข้อตกลงครั้งล่าสุด แต่ช่วยลดปัญหาได้เพียงเล็กน้อย เพราะภัยคุกคามที่ใหญ่กว่า กำลังคืบคลานเข้ามา

ซีเอ็นบีซี รายงานมุมมองของ Stefan Angrick หัวหน้าฝ่ายเศรษฐศาสตร์ ตลาดญี่ปุ่น และตลาดฟรอนเทียร์ จาก Moody’s Analytics ที่บอกว่า ข้อตกลงการค้าที่ญี่ปุ่นทำกับสหรัฐฯ นั้น เป็นเรื่องน่ายินดี เพราะทำให้มั่นใจได้ว่าภาษีนำเข้ารถยนต์ที่ผลิตในญี่ปุ่น ไปยังสหรัฐฯ จะลดลงจากกำหนดเดิม 

ซึ่งเดิม จะเรียกเก็บในอัตราร้อยละ 25 รวมกับอัตราภาษีดั้งเดิมอีกร้อยละ 2.5 รวมเป็นร้อยละ 27.5 และลดลงเหลือร้อยละ 15

แต่ก็ไม่อาจเรียกว่าเป็นข่าวดีได้ เพราะภาษีที่ร้อยละ 15 ก็ยังเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นจากเดิม และยังสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้

Stefan Angrick กล่าวอีกว่า ผู้ผลิตรถญี่ปุ่น ยังมีความท้าทายที่ดูจะหนักหนามากกว่า นั่นคือการเติบโตอย่างรวดเร็วของผู้ผลิตรถยนต์จีนในอุตสาหกรรมยานยนต์โลก ซึ่งแต่เดิม จีนเคยเป็นตลาดสำคัญช่วยขับเคลื่อนการเติบโตให้กับรถแบรนด์ญี่ปุ่น แต่ปัจจุบัน จีนก้าวขึ้นมาเป็นคู่แข่งขันที่โดดเด่น และคาดว่า การแข่งขันจากจีนจะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นอีก เนื่องจาก ผู้ผลิตรถจีนได้เร่งพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตขั้นสูง จนกลายเป็นคู่แข่งที่น่ากลัว ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่ความต้องการรถยนต์ภายในประเทศญี่ปุ่นเองเริ่มอ่อนแรง

ด้าน Karl Brauer นักวิเคราะห์จาก iSeeCars มีมุมมองที่สอดคล้องกัน โดยบอกว่า รถยนต์จีนราคาประหยัด ถือเป็นภัยคุกคามใหญ่หลวงที่สุด ต่ออุตสาหกรรมรถยนต์และการเติบโตทางเศรษฐกิจญี่ปุ่น 

ทั้งนี้ ปัจจุบัน จีนเป็นผู้ผลิตและผู้ส่งออกรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถยนต์ไฟฟ้า และการที่จีนเริ่มครองความเป็นผู้นำในด้านชิ้นส่วนสำคัญ และนวัตกรรมรถยนต์ไฟฟ้า จึงสร้างแรงกดดันต่อผู้ผลิตรถยนต์ต่างชาติอย่างต่อเนื่อง อีกทั้ง กำลังรุกคืบชิง ส่วนแบ่งทางการตลาดในฐานที่มั่นที่เคยเป็นของญี่ปุ่นมาก่อน 

เช่น ตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) เดิมภูมิภาคนี้เคยถูกครอบงำโดยแบรนด์ญี่ปุ่นมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะเป็น โตโยต้า ฮอนด้า และนิสสัน แต่การที่จีนรุกตลาดนี้อย่างจริงจัง ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นต้องต่อสู้อย่างหนัก เพื่อรักษาส่วนแบ่งในตลาดโลกที่เคยไร้คู่แข่งไว้ให้ได้

ซึ่งไทย เป็นตัวอย่างหนึ่ง เคยเป็นฐานที่มั่นที่แข็งแกร่งของรถญี่ปุ่น แต่ปัจจุบันจีนกำลังขยายตลาดเข้าไปอย่างรวดเร็ว

เห็นได้จากข้อมูล ในรายงานประจำปี 2568 ของ PwC ระบุถึงส่วนแบ่งตลาดของผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นในอาเซียน 6 ประเทศ ลดลง จากร้อยละ 68.2 ในปี 2566 เหลือร้อยละ 63.9 ในปี 2567  ซึ่งอาเซียน 6 ประเทศ ประกอบด้วย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และสิงคโปร์

โดย พีดับบลิวซี รายงานว่า ปี 2567 ยอดขายของผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่น ในอาเซียน 6 ประเทศ ลดลงถึงร้อยละ 12 เป็นตัวเลขลดลงมากกว่าภาพรวมตลาดที่ลดลงไปร้อยละ 5.4 บ่งชี้ได้ว่าตลาดอาเซียนกำลังหันไปมุ่งเน้นรถยนต์ไฟฟ้า และแบรนด์จีน มีส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วผ่านการแข่งขันด้านราคา เทคโนโลยี และกลยุทธ์การขยายตลาดอย่างแข็งขัน

ส่วนแบรนด์จีน ครองส่วนแบ่งในตลาดอาเซียนเพิ่มขึ้น จากร้อยละ 3.4 ในปี 2564-2565 เป็นร้อยละ 5 ในปี 2567 ที่ผ่านมา 

นอกจากตลาดอาเซียนแล้ว ตลาดส่งออกรถยนต์ที่ใหญ่เป็นอันดับสองของญี่ปุ่น คือ ออสเตรเลีย ก็กำลังถูกจีนเข้ามาแข่งขันเช่นกัน ซึ่งจากผลศึกษาล่าสุดของ สมาคมตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ออสเตรเลีย คาดการณ์ว่า การนำเข้ารถยนต์จากจีน จะแซงหน้าการนำเข้ารถที่ผลิตจากประเทศอื่นภายในทศวรรษข้างหน้านี้

รายงานดังกล่าว ระบุว่า ภายในปี 2578 รถยนต์นำเข้าทั้งหมดในออสเตรเลีย จะเป็นรถที่ผลิตในจีนมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 43 เพิ่มขึ้นจากปี 2568 ที่คาดว่าจะนำเข้าคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 17 และในทางตรงกันข้าม การนำเข้ารถยนต์จากญี่ปุ่น คาดว่าจะลดลงจากคาดการณ์ในปีนี้ จะมีสัดส่วนร้อยละ 32 เหลือร้อยละ 22 ภายในปี 2578

นอกจากนี้ ภาคยานยนต์ญี่ปุ่นยังต้องเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจภายในประเทศเอง ซึ่งรวมถึงภาวะเงินเฟ้อ และการใช้จ่ายของผู้บริโภคอ่อนแอ โดยโตโยต้า จะยังมีความได้เปรียบกับตลาดในประเทศและสามารถจัดการกับความท้าทายนี้ได้ แต่ผู้ผลิตรายอื่น จะได้รับแรงกดดันที่มากขึ้นจากปัจจัยดังกล่าว 

สำหรับ การเจรจาระหว่างสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ซึ่งได้ข้อยุติแล้วนั้น ทำให้ความรุนแรงของผลกระทบต่ออุตสาหกรรทยานยนต์ลดลง

โดยโกลแมน แซคส์ (Goldman Sachs) คาดการณ์ว่า จะทำให้ผลกระทบจากภาษีนำเข้าไปยังสหรัฐฯ ต่อผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นลดลงจากคาดการณ์เดิม ราว 11,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

จากเดิมที่ประเมินผลกระทบโดยรวมต่อกำไรจากการดำเนินงาน ของผู้ผลิตรถนต์รายใหญ่ของญี่ปุ่น 7 ราย ในปีงบประมาณนี้ จะอยู่ที่ราว 24,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และจะลดลงเหลือประมาณ 13,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 1 ล้าน 8 แสน 9 หมื่น ล้านเยน

และภายใต้โครงการภาษีใหม่นี้ กำไรจากการดำเนินงานของ โตโยต้า มอเตอร์ คาดว่าจะลดลง 872,000 ล้านเยน หรือเกือบ 6,000 ล้านดอลลาร์ กระทบน้อยลงจากคาดการณ์เดิม ที่หากยังใช้ภาษีตอบโต้ในอัตราเดิมที่กำหนด คาดว่ากำไรจากการดำเนินงานของโตโยต้าจะหายไปถึง 11,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 

ส่วน ฮอนด้า มอเตอร์ จะขาดทุนลดลง จากเดิมคาดว่าจะขาดทุนถึง 3,800 ล้านดอลลาร์ และจากข้อมูลล่าสุด จะขาดทุนลดลงอยู่ที่ 2,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

อย่างไรก็ดี ในแวดวงอุตสาหกรรมยานยนต์ญี่ปุ่น ยังมองว่า เป็นอัตราภาษีที่สูงอยู่ดี โดยเจ้าหน้าที่จาก มิตซูบิชิ มอเตอร์ ให้ความเห็นว่า ผลกระทบยังคงรุนแรง และยากที่จะมองในแง่ดีได้ แม้ว่าอัตราภาษีจะถูกลดลงมาแล้วก็ตาม

ก่อนหน้านี้ นิเคอิ เอเชีย รายงานว่า อุตสาหกรรมรถยนต์ญี่ปุ่นกำลังพิจารณาทางเลือก ในการช่วยลดปัญหาความไม่สมดุลทางการค้าระหว่างญี่ปุ่น และสหรัฐฯ ซึ่งหนึ่งในแนวทางดังกล่าว คือ โตโยต้า มอเตอร์ อาจนำรถยนต์ที่ผลิตในอเมริกา กลับเข้ามาขายในญี่ปุ่น หรือเสนอขายรถแบรนด์อเมริกันในเครือข่ายผู้จำหน่ายของตนเอง ในประเทศญี่ปุ่น

และรายงานล่าสุด อากิโอะ โตโยดะ ประธานกรรมการบริหาร โตโยต้า ยืนยัน กำลังพิจารณาหารถยนต์ที่ผลิตจากอเมริกาในญี่ปุ่น ซึ่งจะเป็นทั้งรถยนต์นั่งส่วนบุคคลและรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ 

นอกจากนี้ โตโยต้า ได้ออกแถลงการณ์ ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ คาดว่าจะช่วยลดแรงกดดันต่อการส่งออกรถยนต์ของญี่ปุ่นได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งข้อตกลงนี้ยังสะท้อนถึงความกังวลในวงกว้างของอุตสาหกรรมเกี่ยวกับอุปสรรคทางการค้า โดยโตโยต้าได้เน้นย้ำถึงการมีส่วนร่วมต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านการลงทุน 6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และการสร้างงาน 2 ล้าน 3 แสนตำแหน่ง และยังมุ่งหวังให้มีการลดภาษีนำเข้าเพิ่มเติม

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง