รีเซต

โควิด Omicron ไม่ร้ายกาจอย่างที่คิด จริงหรือ?

โควิด Omicron ไม่ร้ายกาจอย่างที่คิด จริงหรือ?
TNN ช่อง16
2 ธันวาคม 2564 ( 15:46 )
147
โควิด Omicron ไม่ร้ายกาจอย่างที่คิด จริงหรือ?

ศาสตราจารย์ พอล เคลลี หัวหน้าหน่วยการแพทย์ของออสเตรเลีย เปิดเผยว่า ยังไม่มีหลักฐาน หรือข้อบ่งชี้ใด ๆ ว่า โควิดกลายพันธุ์ Omicron ที่กำลังทำให้ทั่วโลกปั่นป่วนในเวลานี้ จะมีความ "ร้ายแรง" กว่าสายพันธุ์ก่อน ๆ


"เมื่อดูจากกรณีผู้ป่วยกว่า 300 คนทั่วโลก ที่พบในหลายประเทศ จะพบว่าส่วนใหญ่มีอาการเพียงเล็กน้อย หรือแทบไม่มีอาการเลยด้วยซ้ำ และพบว่าการติดเชื้อส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นทั่วโลกนั้น เป็นคนที่ได้รับวัคซีนแล้ว เพราะส่วนใหญ่ตรวจพบในผู้ที่เดินทางจากประเทศแถบแอฟริกาใต้ ซึ่งต้องได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว" ศ.เคลลี กล่าว


ศ.เคลลี ยังระบุอีกด้วยว่า ในเวลานี้ ยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่า วัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่มีอยู่ในเวลานี้จะใช้ไม่ได้ผลกับไวรัสกลายพันธุ์ตัวใหม่นี้ด้วย เพราะยังต้องรอเวลาในการวิจัยอีกอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ จึงจะทราบผลที่ชัดเจน แและควรรอคอยข้อมูลที่มากกว่านี้เสียก่อน


สำหรับออสเตรเลีย พบผู้ติดเชื้อไวรัส Omicron แล้ว 7 ราย โดยพบว่า 2 รายเป็นการติดเชื้อระหว่างการไปจับจ่ายซื้อของในชุมชน ขณะที่ 6 ราย ตรวจพบในรัฐนิวเซาท์เวลส์ ซึ่งเป็นรัฐที่มีประชากรมากที่สุดของประเทศ


---Omicron กำลังกลายเป็นสายพันธุ์หลักในแอฟริกาใต้---


แม้ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าไวรัส Omicron มีความรุนแรง แต่การที่มันแพร่เชื้อได้เร็วกว่าเดิม ก็ทำให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขในแอฟิรกาใต้ เปิดเผยว่า มีความกังวลอย่างยิ่งที่จำนวนผู้ติดเชื้อกำลังเพิ่มสูงขึ้นมาก และเข้าใกล้การเป็นสายพันธุ์หลักในประเทศแล้ว


ดร.มิเชลล์ กรูม แห่งสถาบันโรคติดเชื้อของแอฟริกาใต้ เปิดเผยว่า มีการเพิ่มขึ้นของผู้ติดเชื้ออย่างมากในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา จากเฉลี่ยราว 300 เคสต่อวันเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน กลายเป็น 8,561 เคสในวันพุธ (1 ธันวาคม) ที่ผ่านมา ซึ่งการเพิ่มอย่างรวดเร็วเช่นนี้ นับเป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างยิ่ง


สถาบันโรคติดเชื้อของแอฟริกาใต้ เปิดเผยว่า จากการตรวจจีโนมของไวรัสในช่วงเดือนที่ผ่านมา พบว่า 74% เป็นไวรัสกลายพันธุ์ตัวใหม่ ซึ่งพบในตัวอย่างครั้งแรกเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายนที่ผ่านมาในเมืองกอเตง ตอนเหนือของแอฟริกาใต้ ที่มีประชากรมากที่สุดในประเทศ


ส่วนคำถามว่า แล้วระบาดได้เร็วขนาดไหน จนถึงเวลานี้ยังตอบเป็นตัวเลขที่ชัดเจนไม่ได้ โดยมาเรีย แวน เคอร์โคฟ นักระบาดวิทยาแห่งองค์การอนามัยโลก หรือ WHO แถลงข่าวเมื่อวานนี้ ระบุว่า "อีกไม่กี่วัน" น่าจะมีข้อมูลชัดเจนว่า Omicron สามารถแพร่เชื้อได้เร็วเพียงใด


---ซาอุฯ-UAE-สหรัฐฯ พบผู้ติดเชื้อ Omicron รายแรกแล้ว---


กระทรวงสาธารณสุขซาอุดิอาระเบียรายงานพบผู้ติดเชื้อ Omicron เป็นรายแรกแล้วเมื่อวานนี้ (1 ธันวาคม) เป็นนักเดินทางที่มาจากประเทศในแอฟริกาตอนเหนือ ทำให้ซาอุดิอาระเบียนับเป็นประเทศอาหรับประเทศแรกในพื้นที่อ่าวเปอร์เซีย ที่พบผู้ติดเชื้อ Omicron


กรณีซาอุฯ น่าสนใจตรงที่ ผู้ติดเชื้อเป็นนักเดินทางที่เป็นพลเรือนของประเทศที่อยู่ทางตอนเหนือของทวีปแอฟริกา ซึ่งไม่ใช่ประเทศแอฟริกาใต้ ที่เป็นต้นตอการพบ Omicron แต่ไม่มีการเปิดเผยชื่อประเทศในแอฟริกาตอนเหนือดังกล่าว


และอีกเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้น กระทรวงสาธารณสุขของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือ UAE ก็รายงานพบผู้ติดเชื้อ Omicron รายแรกเช่นกัน แต่กระทรวงสาธารณสุข UAE ไม่ได้เปิดเผยชื่อของประเทศในทวีปแอฟริกาดังกล่าว


---สหรัฐฯ พบผู้ติดเชื้อรายแรกเช่นกัน---


นายแพทย์แอนโธนี เฟาชี ผู้อำนวยการสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อแห่งชาติของสหรัฐฯ กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ผู้ติดเชื้อไวรัส Omicron คือนักเดินทางที่กลับมาจากแอฟริกาใต้เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน และตรวจพบเชื้อเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน โดยเป็นผู้ที่ได้รับวัคซีนแล้วแต่ยังไม่ได้ฉีดกระตุ้นภูมิเข็ม 3 หรือบูสเตอร์ และมีอาการป่วย "เพียงเล็กน้อย"


เมื่อไม่กี่วันก่อน รัฐบาลสหรัฐฯ เริ่มใช้มาตรการจำกัดนักเดินทางจากแอฟริกาใต้ที่ ซึ่งตรวจพบเชื้อไวรัส Omicron เป็นประเทศแรกก่อนที่จะพบในอีกมากกว่า 20 ประเทศในเวลาต่อมา


เจ้าหน้าที่ระบุว่าได้ติดต่อไปยังทุกคนที่ใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ Omicron รายแรกในสหรัฐฯ ผู้นี้แล้ว ซึ่งทุกคนมีผลตรวจโควิดออกมาเป็นลบ


ขณะเดียวกัน ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ หรือ CDC เพิ่มมาตรการในการตรวจหาเชื้อสำหรับผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ รวมถึงการกำหนดให้ผู้โดยสารเครื่องบินที่จะมายังสหรัฐฯ ต้องมีผลตรวจโควิดเป็นลบหนึ่งวันก่อนขึ้นเครื่อง โดยไม่จำเป็นว่าฉีดวัคซีนโควิดมาแล้วหรือไม่


นอกจากนี้ CDC กำลังพิจารณาว่าจะบังคับให้มีการตรวจหาเชื้อหลังจากที่เดินทางมาถึงสหรัฐฯ แล้วด้วย


เจ้าหน้าที่กล่าวว่า มาตรการเหล่านี้มีขึ้นเพื่อ "ซื้อเวลา" เพื่อให้นักวิทยาศาสตร์มีเวลาศึกษาไวรัส Omicron มากขึ้นเพื่อที่จะกำหนดมาตรการป้องกันอย่างเหมาะสมต่อไป


ขณะที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เตรียมประกาศแนวทางใหม่ในการรับมือกับการระบาดของโคโรนาไวรัสในช่วงฤดูหนาว ในวันพฤหัสบดีนี้ (2 ธันวาคม)

—————

แปล-เรียบเรียง: ภัทร จินตนะกุล

ภาพ: Rappler

ข่าวที่เกี่ยวข้อง