รีเซต

เศรษฐกิจจีนครึ่งหลังของปี 2025 จะไปทางไหน? (ตอนจบ)

เศรษฐกิจจีนครึ่งหลังของปี 2025 จะไปทางไหน? (ตอนจบ)
TNN ช่อง16
27 สิงหาคม 2568 ( 13:48 )
8

นับแต่ต้นปี 2025 สงครามการค้า 2.0 ได้นำไปสู่ความขัดแย้งทางเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐฯ และจีนในระดับสูงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และส่งผลกระทบต่อไปยังนานาประเทศทั่วโลก แต่หลายเหตุการณ์ที่กำลังจะเกดขึ้นในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้า อาจทำให้สถานการณ์ความขัดแย้งดังกล่าวเปลี่ยนแปลงไป และจะมีผลกระทบอย่างมากต่อทิศทางเศรษฐกิจจีนในช่วงครึ่งปีหลัง เราไปติดตามบทสรุปของประเด็นนี้กันต่อเลยครับ ...

ทั้งนี้ สถานการณ์จะเป็นเช่นไรขึ้นอยู่กับหลายเหตุการณ์และปัจจัยที่จะเกิดขึ้น ประการแรก ในชั้นนี้ มีกระแสข่าวว่า ประธานาธิบดีทรัมป์จะเดินทางไปเยือนจีนอย่างเป็นทางการในช่วงปลายเดือนตุลาคม ศกนี้

ในประเด็นด้านเศรษฐกิจ โลกกำลังจับตามองอย่างใกล้ชิดถึงการพบปะกันซึ่งหน้าของ 2 ผู้นำโลกว่า คณะผู้แทนการค้าของทั้งสองประเทศจะสามารถ “ตกผลึก” หาข้อสรุปที่ลงตัวเพื่อ “ชงเรื่อง” ก่อนการพบกันของสองผู้นำได้หรือไม่ อย่างไร

หากมองไปที่ปลายทาง การได้ข้อสรุปดังกล่าวอาจช่วยลด “ความปั่นป่วน” และนำ “เสถียรภาพ” กลับคืนสู่เวทีการค้า การลงทุน และเศรษฐกิจโลกอีกครั้ง แทนที่จะเห็นผู้ประกอบการต่างพร้อมใจกัน “ใส่เกียร์ว่าง” และ “ตั้งการ์ดสูง” อย่างเช่นที่ผ่านมาเพราะไม่รู้ว่า “ตื่นขึ้นมาพรุ่งนี้จะต้องเจอกันอะไร” ดร. สมภพฯ กล่าว

ประการถัดมา เหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นไล่เลี่ยกับการประกาศเลื่อน “อากรต่างตอบแทน” 90 วันระหว่างสหรัฐฯ และจีนดังกล่าวก็ได้แก่ การประกาศขึ้นอากรนำเข้าสินค้าอินเดียและบราซิลไปถึง 50% ด้วยเหตุผลด้านพาณิชย์ การเมือง และอื่นๆ อย่างไร้ขอบเขต ส่งผลให้กลุ่ม BRICs “เข้มแข็ง” และ “ปึกแผ่น” มากอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน หลังจากปล่อยให้จีนยืนหยัด “ซัดหมัด” กับสหรัฐฯ อย่างโดดเดี่ยวอยู่นานแรมปี 

บราซิลโดนขึ้นอากรนำเข้าในข้อหาลงโทษ “เพื่อน” ของทรัมป์ ซึ่งตามมาด้วยการต่อสายโทรศัพท์พูดคุยระหว่างผู้นำบราซิลและจีนตามมา กระแสข่าวระบุว่า จีนจะยังคงจัดซื้อถั่วเหลืองและข้าวโพดจากบราซิลเช่นเดิม ส่วนเมล็ดกาแฟที่อาจประสบปัญหาการส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ ก็อาจเปลี่ยนมาส่งออกสู่ตลาดจีน “คนจีนดื่มกาแฟกันมาก และจะดื่มกาแฟของบราซิลมากขึ้น” คำตอบของผู้นำจีนได้ใจผู้นำบราซิลไปเต็มๆ

ขณะที่อินเดียก็ไม่อาจยอมรับเงื่อนไขของสหรัฐฯ ที่ต้องการให้เปิดตลาดสินค้าเกษตร และระงับการจัดซื้อน้ำมันจากรัสเซียได้ ส่งผลให้ นเรนทร โมที นายกรัฐมนตรีอินเดีย หันกลับมายึดแนวทาง “เก็บความขัดแย้ง มุ่งสู่ความร่วมมือ” กับจีนอีกครั้ง และพลิกฟื้นสถานการณ์ความสัมพันธ์อย่าง “หน้ามือเป็นหลังมือ”

ภายหลังความขัดแย้งอย่างรุนแรงในบริเวณเส้นพรมแดนระหว่างจีนและอินเดียเมื่อราว 5 ปีก่อน ความสัมพันธ์จีน-อินเดียก็เข้าสู่จุดตกต่ำ อินเดีย “แช่แข็ง” วีซ่าคนจีนและยกเลิกเที่ยวบินตรงระหว่างกัน แต่การประกาศขึ้นอากรนำเข้าของสหรัฐฯ ครั้งหลังสุดกลับทำให้อินเดียตระหนักดีว่า จีนคือ “เพื่อนแท้” 

และเพื่อให้เกียรติอินเดีย หวัง อี้ ที่เป็น “ยิ่งกว่ารัฐมนตรีต่างประเทศ” ของจีนก็เดินทางเยือนอินเดียอย่างเป็นทางการในทันที หลังจากนั้น รัฐบาลอินเดียก็ประกาศมาตรการความร่วมมือระกับจีนตามมาเป็นชุด อาทิ การ “ปลดล็อก” วีซ่าให้แก่คนจีนเข้าอินเดีย การอนุมัติเปิดเส้นทางบินตรงระหว่างจีน-อินเดีย และการพลิกฟื้นมาตรการสร้างความกระชุ่มกระชวยทางเศรษฐกิจระหว่างกัน

ยิ่งไปกว่านั้น ผมคาดว่าเราน่าจะเห็นความสัมพันธ์ระหว่างจีนและอินเดียกลับสู่ “ดุลยภาพใหม่” และภาพดังกล่าวจะชัดเจนยิ่งขึ้นในระหว่างการประชุมทวิภาคีและพหุภาคีผ่านเวที Shanghai Cooperation Organization ที่ปักกิ่งและเทียนจินในช่วงสิ้นเดือนสิงหาคมต่อต้นเดือนกันยายน เราอาจได้เห็นการต้อนรับผู้นำจากแดนภารตะอย่างยิ่งใหญ่ และภาพการสวมกอดกันระหว่างผู้นำจีนและอินเดียอีกครั้งในระหว่างการเยือนจีนอย่างเป็นทางการในครั้งนี้ 

นี่อาจทำให้ทฤษฎี “โดมิโน” ของสหรัฐฯ ไม่เพียง “หยุดล้ม” ต่อเท่านั้น แต่ประเทศกำลังพัฒนาที่เป็น “เบี้ยล่าง” สามารถยืนหยัดและอาจล้มกลับไปยังสหรัฐฯ ได้ในอนาคต

อีกเหตุการณ์ที่สำคัญก็ได้แก่ การประชุมสุดยอดระหว่างผู้นำสหรัฐฯ และรัสเซียเมื่อกลางเดือนสิงหาคมที่อาลาสก้า ซึ่งนำไปสู่คำถามใหม่ตามมามากมาย อาทิ ยูเครนและสมาชิกสหภาพยุโรปยอมรับในผลการเจรจาหรือไม่

ตลอดช่วงหลายปีหลัง สหภาพยุโรปน่าจะตระหนักดีว่า พวกเขาไม่มีทางชนะในการยอมเป็น “ลูกไล่” และเล่นเกมตามสหรัฐฯ การถูกบีบให้ซื้อสินค้าพลังงานจากสหรัฐฯ ในราคาที่สูง และการซื้อน้ำมันของรัสเซียผ่านอินเดีย ยังสะท้อนว่า มาตรการแซงชั่นทางเศรษฐกิจที่สหรัฐฯ และชาติพันธมิตรมีต่อรัสเซียเป็นเสมือน “การยิงปืนใส่เท้าตัวเอง”

ขณะเดียวกัน จุดยืนของสหภาพยุโรปต่อกรณีสงครามรัสเซีย-ยูเครนยังนับว่ามีความสำคัญต่อประเด็นความมั่นคงในภูมิภาคและระเบียบสังคมโลกในอนาคต สหภาพยุโรปจะใช้จังหวะนี้ “ใส่เกียร์ห้า” และ “เปลี่ยนเลนส์แซง” ในเวทีการเมืองและเศรษฐกิจระหว่างประเทศหรือไม่ เป็นอีกคำถามที่โลกรอคำตอบ เพราะสหรัฐฯ ก็จะ “อ่อนยวบ” และ “เดินอย่างเดียวดาย” ในเวทีโลกหากปราศจากสหภาพยุโรป

คำถามสำคัญก็คือ สหภาพยุโรปจะฉุกใจคิดกลับมา “กู้ภาพลักษณ์” และ “แสดงบทบาทนำ” ในเวทีความมั่นคงระหว่างประเทศและสงครามการค้า 2.0 หรือไม่ อย่างไร  

นอกจากนี้ การประชุมสุดยอดรัสเซีย-สหรัฐฯ ยังอาจมีความหมายว่า สหรัฐฯ ให้การยอมรับรัสเซียในเวทีโลก และจะปลดล็อกการแซงชั่นทางเศรษฐกิจที่มีต่อรัสเซียหรือไม่ เพราะนั่นอาจหมายรวมถึงการเปิดทางให้นานาประเทศคบค้าและซื้อหาสินค้าของรัสเซียในอนาคต และการยกเลิกมาตรการกีดกันทางภาษีของสหรัฐฯ กับประเทศที่เกี่ยวข้อง 

การต่อสายและพบปะกันซึ่งหน้าระหว่างผู้นำของสหรัฐฯ รัสเซีย สหภาพยุโรป ยูเครน และอินเดีย คาดว่าจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องก่อนการเยือนจีนอย่างเป็นทางการของทรัมป์ในช่วงสิ้นเดือนตุลาคม และดูเหมือนจีนกำลังขึ้นภูนั่งเล่น “กู่ฉิน” รอดูผลสรุปจากการหารือของนานาประเทศ 

บางคนอาจสงสัยว่าทำไมผู้นำจีนจึง “เงียบจัง” ในช่วงนี้ ผมขอเรียนว่า นอกจากการเตรียมจัดประชุมระหว่างประเทศและการประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์แล้ว จีนกำลังให้ความสำคัญกับการเตรียมจัดงานพาเหรดสวนสนาม “ฉลอง 80 ปีชัยชนะเหนือลัทธิฟาสต์ซิสและญี่ปุ่น” ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่จะมีขึ้นในวันที่ 3 กันยายน ที่จะถึงนี้ 

การสวนสนามของกองทัพจีนในครั้งนี้จะครอบคลุมถึง 45 หน่วย ยุทโธปกรณ์ภาคพื้นดิน และฝูงบินอากาศยาน รวมทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์ทางการทหารเจนที่ 4 อีกด้วย นัยว่าจะเป็นหนึ่งในการอวดโฉมแสนยานุภาพครั้งใหญ่สุดในประวัติศาสตร์จีนต่อหน้าผู้เข้าร่วมงานหลายหมื่นคนและการถ่ายทอดสดออกไปทั่วโลก นี่อาจเป็นการส่งสัญญาณแรงว่า “โลกควรหยุดความขัดแย้งกันได้แล้ว”

ดังนั้น ระยะเวลาไม่กี่วันข้างหน้าจึงเป็นช่วงเวลาที่โลกไม่อาจกระพริบตาได้อย่างเด็ดขาด และอาจจะเป็น “ตัวชี้ขาด” ว่าเศรษฐกิจจีนจะ “รักษาโมเมนตัม” เติบโตได้ตามเป้าหมาย 5% ที่กำหนดไว้ได้หรือไม่ในปีนี้ และจะปรับทิศทางสู่การพึ่งพา “กำลังภายใน” และภาคการผลิตที่มุ่งเน้นนวัตกรรมเข้มข้น ภาคบริการ และภาคการเงินได้อย่างมั่นคงได้หรือไม่ในระยะยาว ...

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง