‘หุ้นน้ำมัน’คึก ดีมานด์เพิ่ม หลังราคาลง-ชู PTTเด่นสุด

#กบน. #ทันหุ้น - กบน.ลดราคาน้ำมันดีเซล 50 สตางค์ต่อลิตร-เบนซิน 30 สตางค์ต่อลิตร มีผล 21 ตุลาคม 2568 เพื่อลดภาระค่าครองชีพ หลังราคาน้ำมันดิบโลกปรับตัวลงกว่า 22% หนุนดีมานด์เพิ่ม หนุนหุ้นกลุ่มน้ำมัน ชู PTT เด่นสุด
นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) เปิดเผยว่า กบน.ได้พิจารณาปรับลดราคาน้ำมันน้ำมันดีเซลลง 50 สตางค์ต่อลิตร และน้ำมันเบนซินลง 30 สตางค์ต่อลิตร โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 21 ตุลาคม 2568
“การปรับลดราคาน้ำมันในครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานตามนโยบาย Quick Big Win ที่ให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง มุ่งสร้างผลลัพธ์เชิงรูปธรรมอย่างชัดเจน และรวดเร็ว เพื่อดูแลค่าครองชีพให้แก่ประชาชน และขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้เดินหน้าอย่างมั่นคง เนื่องจากพลังงานเป็นเรื่องใกล้ตัวที่ส่งผลโดยตรงต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน”
สำหรับประมาณการฐานะกองทุนน้ำมัน ณ วันที่ 19 ตุลาคม 2568 ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยกองทุนน้ำมันติดลบอยู่ที่ 14,754 ล้านบาท แบ่งเป็น บัญชีน้ำมันบวกอยู่ที่ 26,910 ล้านบาท และบัญชี LPG ติดลบ อยู่ที่ 41,664 ล้านบาท ส่วนการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมัน ประเภทน้ำมันเบนซินในครั้งนี้ จะทำให้รายรับของน้ำมันเบนซินลดลงเหลือประมาณวันละ 83.17 ล้านบาท จากเดิมที่มีรายรับประมาณวันละ 92.79 ล้านบาท ขณะที่รายรับจากกลุ่มน้ำมันดีเซลยังคงไม่เปลี่ยนแปลง อยู่ที่ประมาณวันละ 61.70 ล้านบาทเท่าเดิม
@หนุนดีมานด์เพิ่ม
นายจักรพงศ์ เชวงศรี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ระบุราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวลงมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 2568 จนถึงปัจจุบัน (YTD) ปรับตัวลดลงราว 22% และตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคม 2568 (2 สัปดาห์) ถึงปัจจุบันปรับตัวลดลงถึง 10% กดดันจากความกังวลว่าจะเกิดสงครามราคาน้ำมันดิบ (Price War) ระหว่างซาอุดีอะราเบียกับรัสเซียหากสงครามรัสเซีย - ยุเครนสิ้นสุดลง จากกรณีที่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเข้าไปเป็น “คนกลาง” ไกล่เกลี่ยสถานการณ์ดังกล่าวอย่างจริงจัง
“กลุ่มโอเปกพลัสทยอยปรับเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันมาอย่างต่อเนื่อง และหากรัสเซียสามารถกลับมาส่งออกน้มันได้อีกครั้งความกังวลว่าจะเกิด Oversupply และสงครามราคาจึงกลับมาอีกครั้ง ขณะที่เศรษฐกิจโลกอยู่ในช่วงชะลอตัว (Slowdown) ไม่ใช่ภาวะถดถอย (Recession) ดังนั้นทั้ง IEA และ EIA ยังคงคาดการณ์ว่าความต้องการน้ำมันโลกจะเติบโตขึ้นราว 0.7 ล้านบาร์เรล - 1.1 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2569”
ทั้งนี้ราคาน้ำมันที่ปรับลดลง เป็นปัจจัยกระตุ้นความต้องการใช้น้ำมัน (Demand) ให้เร่งตัวขึ้น รวมถึงกลุ่มผู้ประกอบการโรงกลั่น และปิโตรเคมีมีต้นทุนเชื้อเพลิงและวัตถุดิบ (Reduced Fuel and Feedstock Costs) ที่ลดลง โดยเฉพาะโรงงานปิโตรเคมีที่ใช้แนฟทาเป็นวัตถุดิบหลักจะได้รับประโยชน์จากส่วนต่างราคาโอเลฟินส์ (Naphtha Crackers) ที่กว้างขึ้น
พร้อมแนะนำลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงานขนาดใหญ่ อาทิ SCC, PTT, และ BCP เนื่องจากโครงสร้างธุรกิจที่หลากหลายสามารถทนทานต่อความผันผวนในตลาดน้ำมันได้ดีกว่า
@ชู PTT เด่นสุด
นายปรินทร์ นิกรกิตติโกศล ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุภาพอุตสาหกรรมราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังคงอยู่ในช่วง “ขาลง” กดดันจาก 1.กลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมัน (OPEC Plus) ยกเลิกมาตรการปรับลดกำลังการผลิตแบบสมัครใจเร็วกว่ากำหนด 2.สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรปร่วมกันกดดันอินเดีย ไม่ให้ซื้อน้ำมันจากรัสเซีย มุ่งหวังยุติสงครามรัสเซีย - ยูเครนอย่างเป็นรูปธรรม
เบื้องต้นคาดการณ์ราคาน้ำมันดินในตลาดโลกเฉลี่ยทั้งปี 2568 ที่ 68 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกาต่อบาร์เรล และลดลงเหลือเฉลี่ยที่ 65 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในปี 2569 จึงคงคำแนะนำเข้าลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยหนุนเฉพาะตัว อาทิ PTT เนื่องจากโครงสร้างธุรกิจกระจายความเสี่ยง ครอบคลุมหลายกลุ่มธุรกิจ ทั้งยังมีอัตราจ่ายเงินปันผลสูง และสม่ำเสมอ
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
