รีเซต

ครม.อนุมัติ 5 มาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวปลายปี คาดหนุนจีดีพีเพิ่ม 0.04%

ครม.อนุมัติ 5 มาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวปลายปี คาดหนุนจีดีพีเพิ่ม 0.04%
ทันหุ้น
21 ตุลาคม 2568 ( 13:49 )
14

ครม.อนุมัติ 5 มาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวปลายปี คาดหนุนจีดีพีเพิ่ม 0.04%

#ทันหุ้น ครม.อนุมัติ 5 มาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวปลายปี คาดหนุนจีดีพีเพิ่ม 0.04% โดยนำรายจ่ายไม่เกิน 2 หมื่นบาทลดหย่อนเที่ยวเมืองรองได้ 1.5 เท่า เมืองหลักได้ 1 เท่า ส่วนนิติบุคคลลดหย่อนได้ 1.5 เท่าตามรายจริง พร้อมเร่งเบิกงบอบรมสัมมนา ขยายเวลาลดภาษีสถานบันเทิง 5% และนำรายจ่ายปรับปรุงโรงแรมลดหย่อยได้ 1.5 เท่า

นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้(21ต.ค.)อนุมัติ 5 มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในช่วงปลายปี เพื่อยืนยันให้จีดีพีปีนี้ไม่ตกท้องช้างและกลับมาในเกณฑ์ปกติมากที่สุด โดยการท่องเที่ยวมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจ หรือคิดเป็น 24%ของการบริโภคภาคเอกชน และ 14% ของจีดีพี ถ้าเทียบปี 67 กับ 68 จะพบว่า การท่องเที่ยวปี 67 นั้นดีมาก โต 8.4% แต่ในปี 68 ขยายตัวติดลบ 2.7% ถ้าไม่ทำอะไรเลย จึงเป็นที่มาของมาตรการดังกล่าว อย่างไรก็ดี ผลของมาตรการอาจไม่มากแต่เราจะใช้มาตรการให้เหมาะสม

สำหรับมาตรการแรก คือ การลดหย่อนภาษีบุคคลธรรมดาเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว โดยให้นำรายจ่ายจากการท่องเที่ยวในเมืองหลักและเมืองรองมาหักลดหย่อนได้ไม่เกิน 2 หมื่นบาท โดยเมืองรองหักลดหย่อนได้ 1.5 เท่าของรายจ่าย ส่วนเมืองหลักได้ 1 เท่า ของรายจ่าย

ทั้งนี้ มีเงื่อนไขว่า ใน 1 หมื่นบาทแรกสามารถหักลดหย่อนได้ในใบกำกับภาษีที่เป็นกระดาษหรืออิเล็กทรอนิกส์ และ อีก 1 หมื่นบาทที่สองจะต้องเป็นเรื่องใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น สำหรับเมืองรองนั้นมี 55 จังหวัด และให้รวมถึงอำเภอในเมืองหลักที่อยู่ไกลจากตัวเมืองด้วย โดยให้เริ่มใช้จ่ายได้ตั้งแต่ 29 ต.ค.ถึง 15 ธ.ค.นี้ คาดว่าจะมีผู้ใช้สิทธิ์ตามมาตรการนี้ราว 1.4 แสนคน จำนวนเงินรวมกันราว 2.8 พันล้านบาท

มาตรการที่สอง มาตรการภาษีสำหรับนิติบุคคล เพื่อสนับสนุนการจัดอบรมสัมมนาภายในประเทศ ในช่วงตั้งแต่ 29 ต.ค. ถึง 15 ธ.ค.นี้ ให้นิติบุคคล สามารถนำค่าห้องสัมมนา ค่าห้องที่พัก ค่าขนส่งหรือรายจ่ายอื่นที่เกี่ยวข้อง ตามจำนวนที่จ่ายจริง โดยต้องออกเป็นใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ โดยหากเป็นการจัดในเมืองรอง หักได้ 2 เท่า และเมืองหลักหักได้ 1.5 เท่า คาดว่าจะมีนิติบุคคลที่ใช้สิทธิ์ประมาณ 1,500 ราย จำนวนเงินรวมกันราว 315 ล้านบาท

มาตรการที่สาม คือ มาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายด้านการฝึกอบรม ประชุม สัมมนาของภาครัฐ ในปีงบประมาณ 2026  จะต้องเร่งรัดการเบิกจ่าย ( Front Load) ให้ได้ไม่น้อยกว่า 60 % ของงบก้อนนี้ ภายในไตรมาสแรกของปีงบประมาณนี้ หรือในช่วงต.ค.นี้ ถึง ม.ค.2569 โดยพิจารณาให้ไปจัดในเมืองรองเป็นอันดับแรก  ทั้งนี้ตามปกติงบเพื่อการอบรมสัมมนาของส่วนราชการดังกล่าวจะมีการเบิกจ่ายในไตรมาสแรกเพียง 10 –20% เท่านั้น

มาตรการที่สี่ คือ มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงโรงแรมที่พัก ไม่ว่าจะเป็นรายจ่ายเพื่อการต่อเติม เปลี่ยนแปลง ขยายออก หรือทำให้ดีขึ้น แต่ไม่ใช่การซ่อมแซมให้คงสภาพเดิม  ให้สามารถหักเป็นรายจ่ายได้ 2 เท่า โดย หนึ่งเท่าแรกเป็นรายจ่ายค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สินตามปกติ และเท่าที่สองให้ทยอยหักเป็นระยะเวลา 20 รอบระยะเวลาบัญชีในจำนวนที่เท่ากันทุกปี โดยจะต้องเป็นรายจ่ายที่เกิดขึ้นในช่วง 29 ต.ค.นี้ ถึง  31 มี.ค.2569 คาดว่าจะมีผู้ประกอบการโรงแรมปรับปรุงโรงแรมราว 1,200ราย มูลค่าเงินลงทุนรวม 2.4 หมื่นล้านบาท

มาตรการที่ห้า คือ มาตรการขยายระยะเวลาการปรับลดอัตราภาษีสำหรับกิจการบันเทิงหรือหย่อนใจ โดยจะขยายระยะเวลาการลดภาษีสรรพสามิตสถานบันเทิง ลดลงเหลือ 5 % จากปกติที่ 10 % ต่ออีก 1 ปี นับตั้งแต่  1มกราคม 2026 ถึง 31 ธันวาคม 2026

นายวินิจ วิเศษสุวรรณภูมิ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กล่าวว่าทั้ง 5 มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในครั้งนี้จะช่วยเพิ่มจีดีพีในปีนี้อีก 0.04%  ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจก่อนหน้า คือ การเพิ่มเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนละครึ่งพลัส ที่ช่วยเพิ่มจีดีพี 0.4 %  รวมแล้วจะช่วยเพิ่มจีดีพี ในปีนี้อีก 0.404%  อย่างไรก็ตามผลของมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว ดังกล่าว ยังไม่รวมกับผลของการที่คนไปท่องเที่ยวและมีการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มเติมอีกด้วย

ขณะที่ โฆษกรัฐบาล นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ กล่าวว่า มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวดังกล่าว จะทำให้รัฐสูญเสียรายได้ราว 5 พันล้านบาท  ซึ่งจะช่วยผลักดันให้ จีดีพีในไตรมาสที่สี่ของปีนี้ ขยายตัวให้ได้ถึง 1 %

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง