รีเซต

โลกร้อนกระทบอากาศทั่วโลก ทำพายุแรง ก่อตัวเร็ว และเกิดถี่ขึ้น

โลกร้อนกระทบอากาศทั่วโลก ทำพายุแรง ก่อตัวเร็ว และเกิดถี่ขึ้น
TNN ช่อง16
25 กันยายน 2568 ( 10:30 )
11

นักวิทยาศาสตร์เตือนว่าการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศกำลังทำให้เฮอริเคน ไต้ฝุ่น หรือพายุไซโคลนมีความรุนแรงมากขึ้นทั้งในแง่ลมฝนและฝนตกหนักกะทันหัน นอกจากนี้ยังมีหลักฐานชี้ว่า พายุมักเคลื่อนตัวช้าลง ซึ่งทำให้ฝนตกทับถมในพื้นที่เดียวกันนานขึ้นจนก่อให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน

ในช่วงเวลา 40 ปีที่ผ่านมา มหาสมุทรโลกได้ดูดซับความร้อนกว่า 90% ที่เกิดจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไปสู่ชั้นบรรยากาศ ความร้อนส่วนใหญ่สะสมอยู่ใกล้ผิวน้ำทะเล ซึ่งกลายเป็นแหล่งพลังงานเสริมให้พายุเข้มข้นขึ้น ส่งผลให้ลมพายุแรงขึ้นและมีศักยภาพทำลายล้างสูงขึ้น

อากาศที่อุ่นขึ้นยังสามารถกักเก็บไอน้ำได้มากกว่าเดิม เมฆฝนจึงสะสมไอน้ำจำนวนมากและเมื่อแตกตัว ก็จะกลายเป็นฝนตกหนักลงมา พายุหลายลูกในฤดูเฮอริเคนที่ผ่านมา มีรายงานว่าเกิดฝนจากพายุที่แรงมากมีอัตราการตกของฝนต่อชั่วโมงเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 8–11 เมื่อเทียบกับสภาพอากาศก่อนที่การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศจะมีผลกระทบอย่างมาก เช่น ในฤดูกาลเฮอริเคนแอตแลนติกปี 2020 ที่เป็นหนึ่งในฤดูกาลที่มีพายุเคลื่อนที่และฝนตกหนักเป็นประวัติการณ์

ปัจจุบัน โลกอุ่นขึ้นแล้วประมาณ 1.1 องศาเซลเซียสเหนือค่าเฉลี่ยก่อนยุคอุตสาหกรรม และนักวิจัยขององค์การนาซ่าและ NOAA คาดการณ์ว่า หากอุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นถึงประมาณ 2 องศาเซลเซียส พายุอาจมีแรงลมสูงขึ้นอีกถึงร้อยละ 10 และโอกาสที่เฮอริเคนจะถึงระดับ 4 หรือ 5 ที่รุนแรงที่สุดอาจสูงขึ้นประมาณร้อยละ 10 ในช่วงศตวรรษนี้

ฤดูพายุดูปกติที่เคยจำกัดอยู่ในช่วงเวลาและพื้นที่เฉพาะก็เริ่มขยายพื้นที่กว้างออกไป เฮอริเคนเริ่มปรากฏตัวเร็วขึ้น ขณะที่พายุบางลูกก็ขึ้นฝั่งในพื้นที่ทางตอนเหนือซึ่งเคยถูกมองว่าอยู่ห่างไกลจากเส้นทางพายุ การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นเรื่องที่หลายเมืองใหญ่ เช่น นิวยอร์ก บอสตัน โตเกียว หรือแม้แต่กรุงปักกิ่ง ต้องจับตามอง เพราะโครงสร้างพื้นฐานไม่ได้ออกแบบมาเพื่อรับมือพายุแบบรุนแรงในพื้นที่เหล่านี้ อย่างพายุแซนดี้ (Hurricane Sandy) ที่เป็นเพียง เฮอริเคนระดับ 1 แต่กลับสร้างความเสียหายมูลค่ากว่า 81,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2.6 ล้านล้านบาท) ตอนที่พัดถล่มชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐอเมริกาในปี 2555 เป็นตัวอย่างถึงผลกระทบมหาศาลที่อาจไม่ได้ขึ้นอยู่กับความแรงของลมเพียงอย่างเดียวแต่รวมถึงปัจจัยอื่น เช่น ความเข้มข้นของฝน ความเร็วในการเคลื่อนที่ของพายุ และสภาพภูมิประเทศร่วมด้วย

สำหรับฤดูเฮอริเคนแบบดั้งเดิมในสหรัฐฯ ปกติแล้วมักเริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงพฤศจิกายน โดยจะพบเฮอริเคนได้มากที่สุดในเดือนกันยายน แต่ข้อมูลวิจัยล่าสุดแสดงให้เห็นว่า พายุลูกแรกที่ได้รับการตั้งชื่อและขึ้นฝั่งในสหรัฐฯ ตอนนี้เริ่มปรากฏตัวเร็วกว่าสมัยก่อนหลายสัปดาห์ กล่าวคือมีแนวโน้มเริ่มต้นฤดูพายุก่อนเดือนมิถุนายน และที่อ่าวเบงกอลในเอเชีย พายุไซโคลนก็เริ่มก่อตัวเร็วกว่าปกติตั้งแต่เดือนเมษายนถึงพฤษภาคม ก่อนฤดูมรสุมใหญ่จะเริ่มต้น

เงื่อนไขที่ทำให้พายุเหล่านี้เกิดขึ้น ได้แก่ น้ำทะเลที่อุ่นขึ้น อากาศที่ชื้นมากขึ้น ซึ่งเมื่อน้ำทะเลระเหย มวลอากาศร้อนและชื้นจะลอยขึ้นแลกเปลี่ยนความร้อนกับบรรยากาศ เป็นกระบวนการที่เสริมความแรงให้กับพายุ และเมื่อเงื่อนไขนี้ครบถ้วน ทั้งน้ำทะเลอุ่น อากาศชื้น และแรงหมุนของโลก พายุจึงสามารถพัฒนาเป็นเฮอริเคน ไต้ฝุ่น หรือไซโคลน ขึ้นอยู่กับภูมิภาคที่เกิด

ปรากฏการณ์เหล่านี้แสดงให้เห็นว่าโลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในระบบภูมิอากาศซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงต่อชีวิต ทรัพย์สิน และระบบนิเวศ หากไม่มีการร่วมมือกันในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก

ข่าวที่เกี่ยวข้อง