ทำไมจีนไม่กลัวการผลิตอัจฉริยะ (ตอนจบ)

คุยกันต่อเลยดีกว่าครับ ...
ข้อคิดที่น่าสนใจในประเด็นนี้ก็คือ โดยทั่วไปแล้ว เมื่อเริ่มนำ AI เข้ามาใช้แล้ว จะหยุดไม่ได้ง่าย เพราะผู้คนจะ “เสพติด” กับความสะดวกสบายที่ได้รับ อาทิ การนำทางของ Baidu และแพลตฟอร์มอื่นที่มีประสิทธิภาพ การจอดรถอัตโนมัติ การแปลแบบทันที หรือการค้นหาข้อมูลผ่านแอพที่รวดเร็วทันใจโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย
ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ “ถึงพรุ่งนี้จีนจะหยุดการพัฒนา AI แต่โลกก็ไม่หยุด” ดูเหมือนประเทศ องค์กร และผู้คนในทุกระดับบนโลกใบนี้ต่างไม่มีทางเลือกในเรื่องนี้เสียแล้ว แถมหลายประเทศชั้นนำล้วนมีจุดมุ่งหมายคล้ายคลึงกันที่อยากก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีและได้รับประโยชน์จาก AI ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคงทางการทหาร และอื่นๆ
ในมิติด้านเศรษฐกิจ ระบบการผลิตอัตโนมัติก็ต้องการแรงงานคุณภาพสูงในการพัฒนาระบบ บริหารจัดการ ดูแลซ่อมบำรุง และจัดการข้อมูล ขณะเดียวกัน การที่กิจการของจีนพัฒนาผู้ผลิตหุ่นยนต์และอุปกรณ์ AI รายใหญ่ ก็ทำให้เกิดตำแหน่งงานใหม่ที่มีคุณภาพสูงในห่วงโซ่อุปทานและอุตสาหกรรมเช่นกัน
นอกจากประโยชน์จากการจ้างงานแล้ว ยังมีมิติเรื่องตลาดโลกที่รออยู่ ซึ่งหมายความว่า ผู้นำด้านเทคโนโลยีจะสามารถส่งออกได้อีกมากในอนาคต ข้อมูลจาก World Robotics Report 2025 ระบุว่า ในปี 2024 โลกมีการติดตั้งหุ่นยนต์อุตสาหกรรม 542,000 ตัว คิดเป็นมากกว่า 2 เท่าของจำนวนเมื่อ 10 ปีก่อน และถือเป็นการติดตั้งหุ่นยนต์อุตสหากรรมที่มีจำนวนเกินกว่าปีละ 500,000 ตัวเป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน และคาดว่าจะทำสถิติต่อเนื่องอีกหลายปี
ข้อสังเกตประการหนึ่งก็คือ ภูมิภาคเอเซียเป็นตลาดที่โดดเด่นสุด โดยคิดเป็นเกือบ 3 ใน 4 ของทั้งหมด เทียบกับยุโรปที่ 16% และอเมริกาที่ 9% โดยจีนเป็นอุปทานและอุปสงค์ของหุ่นยนต์อุตสาหกรรมรายใหญ่สุดของโลก
ขณะเดียวกัน ข้อมูล Global Digital Trade Development Report 2025 ระบุว่า จีนมีการค้าบริการดิจิตัลที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก โดยในปี 2024 จีนส่งออกการค้าดิจิตัลคิดเป็นมูลค่าถึงเกือบ 800,000 ล้านหยวน ขยายตัว 10.7% ของปีก่อน สูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลกอยู่มาก
ประการที่ 3 ตลาดแรงงานจีนมีขนาดใหญ่มาก และมีความยืดหยุ่นสูง แม้ว่าจีนยังคงกำกับควบคุมการโยกย้ายถิ่นฐานของผู้คนผ่านระบบทะเบียนบ้าน “ฮู่โค่ว” ทำให้การเดินทางไปทำงานในเมืองอื่น “ไม่ถูกกฎหมาย” เสียทีเดียว
แต่ในทางปฏิบัติ ความไม่สมดุลของอุปสงค์และอุปทานแรงงานคุณภาพสูงในจีน ทำให้อัตราค่าจ้างและสวัสดิการแรงงานในสาขาขาดแคลนเพิ่มขึ้น เราจึงเห็นแรงงานจากซีกตะวันตก ในเมืองรอง หรือพื้นที่ชนบท ยอมละทิ้งถิ่นฐานและโยกย้ายไปทำงานในด้านซีกตะวันออกหรือเมืองใหญ่เป็นจำนวนมาก
นอกจากนี้ เรายังเห็นแรงงานจำนวนมากที่เข้าไปทำงานในเมืองใหญ่แบบเช้าไป-เย็นกลับ ซึ่งเป็นเสมือน “กันชนแรงงาน” ช่วยลดปัญหาการตกงานถาวรของแรงงานจีนไปได้ในส่วนหนึ่ง
ในอีกด้านหนึ่ง การลดลงของจำนวนประชากรและการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรในระยะหลัง ทำให้จีนอาจคลายความกังวลใจในเรื่องการตกงาน โดยในระหว่างปี 2016-2024 ประชากรในวัยทำงาน (อายุ 15-64 ปี) ของจีนลดลงจาก 72.5% เหลือราว 65% ของจำนวนประชากรทั้งหมด
ยิ่งไปกว่านั้น ขณะที่การขาดแคลนแรงงานอาจเป็นปัญหา “คอขวด” ในการพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตในอดีต และทำให้อัตราค่าจ้างและสวัสดิการเพิ่มขึ้น แต่ก็อาจเป็น “ทางออก” และ “โอกาส” ของการนำเอาระบบการผลิตอัตโนมัติมาใช้ในปัจจุบันและอนาคต
มองออกไปข้างหน้า จีนจะเดินหน้าผลักดันการพัฒนากำลังการผลิตคุณภาพใหม่ (New Quality Productive Forces) จึงต้องมุ่งเน้นการบ่มเพาะแรงงานที่มีทักษะสูงและผู้ชำนาญการด้านเทคโนโลยีใหม่ โดยให้ความสำคัญกับการสร้างหลักสูตรการเรียน โอกาสในการฝึกอบรมที่ตอบโจทย์ความต้องการของภาคธุรกิจผ่านคามร่วมมือระหว่างภาคอุตสาหกรรมและการศึกษา และผลิตบัณฑิตที่มีความรู้และทักษะด้าน AI
นอกจากนี้ จีนยังหันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาแรงงานผ่านการขยายการศึกษาด้านอาชีวะและการฝึกอบรมทักษะด้านเทคนิคแบบตลอดชีพ (Lifelong Vocational Skills Training) โดยเมื่อเร็วๆ นี้ จีนได้ประกาศแผนการลงทุนจัดตั้งฐานการฝึกอบรมผู้เชี่ยวชาญที่มีพรสวรรค์เพื่อสร้างผู้นำและแรงงานทักษะสูงจำนวน 5 ล้านคนภายใน 3 ปีข้างหน้า
ยกตัวอย่างเช่น การเติบโตของอุตสาหกรรมใหม่ เช่น เศรษฐกิจระดับการบินต่ำ (Low-Altitude Economy) ที่กำลังดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ทั้งโดรนขนสินค้าและมนุษย์ และรถบินได้ จะนำไปสู่การขยายตัวของห่วงโซ่อุปทานและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง
อาทิ โรงงานอัจฉริยะ ลอจิสติกส์และคลังสินค้าอัตโนมัติ ผู้ควบคุมระบบอัตโนมัติ นักวิเคราะห์ข้อมูลการผลิต และผู้จัดการระบบหุ่นยนต์การผลิต ซึ่งจะสร้างโอกาสการจ้างงานคุณภาพสูงและการเติบโตทางเศรษฐกิจอีกมาก จึงมีความต้องการทักษะใหม่ๆ อีกมากในอนาคต
เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของอุตสาหกรรมใหม่ได้อย่างทันท่วงที จำนวนผู้ชำนาญการและแรงงานฝีมือของจีนที่มีอยู่กว่า 220 ล้านคนในปัจจุบันจะเพิ่มขึ้นอีกมากทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพในอนาคต
ประการที่ 4 การจ้างแรงงานจีนยังมีต้นทุนที่ “ถูก” เมื่อเทียบกับการลงทุนในเทคโนโลยีบางด้าน แม้ระบบอัตโนมัติจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต แต่ต้นทุนเครื่องจักรและระบบ AI+ ยังถือว่าสูงมาก
ในกรณีของการผลิตจำนวนมาก การใช้ระบบอัตโนมัติจะช่วยเพิ่ม “ผลิตภาพ” และลด “ความเสี่ยง” ให้แก่ธุรกิจได้อย่างมาก ยกตัวอย่างเช่น เมิ่งหนิว (Mengniu) แห่งเขตปกครองจนเองหนิงเซี่ยะ ที่เป็นโรงงานนมแบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบ สามารถเพิ่มผลิตภาพได้ในหลายมิติ อาทิ จำนวนบรรจุภัณฑ์เพิ่มขึ้น 67% และประสิทธิภาพการใช้พื้นที่เพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าตัว
แต่สำหรับงานบางประเภท เช่น การประกอบชิ้นส่วนขนาดเล็ก บรรจุภัณฑ์ หรือบริการที่ใช้แรงงานมนุษย์ ต้นทุนแรงงานจีน (ที่ภาพรวมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองรองของจีน ยังคุ้มกว่าการใช้หุ่นยนต์เต็มรูปแบบ
รวมทั้งงานบริการที่ต้องความละเอียดอ่อนที่ AI+ อาจช่วยแบ่งเบาภาระได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดูแลรักษาสุขภาพ ดังนั้น การที่จีนมีจำนวนประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปถึงราว 300 ล้านคน ก็เพิ่มความต้องการแรงงานในภาคดูแลสุขภาพ บริการสังคม และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีกมาก
ด้วยเหตุผลดังกล่าวทั้งหมดทั้งปวง ผมจึงขอสรุปในเบื้องต้นว่า แรงงานจีนจะไม่ตกงานครั้งใหญ่ แต่คาดว่าจะมีการโยกย้ายและปรับเปลี่ยนรูปแบบงานอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับผลตอบแทนในระดับที่สูงขึ้นในอนาคต
อย่างไรก็ดี ความสำเร็จของจีนในการบริหารจัดการ “เปลี่ยนผ่าน” นี้ยังคงเป็นประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะเทคโนโลยียังคงพัฒนาไปและเปลี่ยนแปลงการทำงานอย่างไม่หยุดยั้ง แต่จีนได้แสดงให้เห็นถึง “ความกล้า” ในการเผชิญกับความท้าทาย “ครั้งใหม่” และพยายามรักษา “สมดุล” ระหว่างนวัตกรรมกับการคุ้มครองแรงงานอย่างยั่งยืน ...
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
