ศาลทหารไทยหลังรัฐประหาร 2557 กับข้อถกเถียงเรื่องความยุติธรรมในสังคมพลเรือน

เมื่อศาลไม่เท่ากันในสังคมเดียวกัน
ในขณะที่ประชาชนทั่วไปคุ้นเคยกับศาลยุติธรรมในฐานะกลไกหลักของรัฐในการวินิจฉัยข้อพิพาทและพิพากษาคดีอาญา แต่ในบางห้วงเวลาทางการเมืองของไทย ศาลทหารกลับกลายเป็นอีกหนึ่งเวทีที่พลเรือนจำนวนมากต้องขึ้นศาลโดยไม่ใช่เพราะตนเป็นทหาร หากแต่เป็นผลจากบริบทการปกครองภายใต้กฎอัยการศึกและประกาศของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หลังรัฐประหารในปี 2557
บทความนี้ชวนสำรวจความซับซ้อนของศาลทหารไทยในฐานะเครื่องมือของอำนาจรัฐ การเปลี่ยนแปลงเชิงสถิติ และประเด็นปัญหาที่สังคมยังตั้งคำถามถึงความยุติธรรมภายใต้ระบบตุลาการพิเศษ
บริบทและอำนาจของศาลทหาร
ศาลทหารถูกจัดตั้งขึ้นภายใต้พระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. 2498 โดยมีอำนาจพิจารณาคดีที่เกี่ยวข้องกับกำลังพลและบุคคลที่อยู่ในอำนาจของกองทัพเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม ในช่วงภาวะไม่ปกติ เช่น การประกาศกฎอัยการศึก หรือรัฐประหาร อำนาจศาลทหารอาจถูกขยายให้ครอบคลุมพลเรือน โดยอาศัยประกาศของฝ่ายบริหารหรือผู้มีอำนาจทางทหาร
การดำเนินคดีในศาลทหารมีลักษณะเฉพาะ เช่น ใช้ตุลาการทหารเป็นผู้พิจารณาคดี การจำกัดสิทธิอุทธรณ์ในบางช่วงเวลา และการพิจารณาที่ไม่เปิดเผยในระดับเดียวกับศาลยุติธรรมทั่วไป ซึ่งก่อให้เกิดคำถามเรื่องมาตรฐานเดียวของกระบวนการยุติธรรมในสังคมประชาธิปไตย
สถิติพลเรือนในศาลทหารหลังรัฐประหาร
ข้อมูลจากองค์กรสิทธิมนุษยชนและกรมพระธรรมนูญ ระบุว่า ระหว่างเดือนพฤษภาคม 2557 ถึงพฤศจิกายน 2559 มีพลเรือนอย่างน้อย 2,177 คน ต้องขึ้นศาลทหารในคดีจำนวน 1,716 คดีทั่วประเทศ
เมื่อแยกตามประเภท พบว่า
- คดีเกี่ยวกับอาวุธปืนและวัตถุระเบิด ตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มีสัดส่วนสูงถึง 91.9% หรือ 1,577 คดี
- คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ (ม.112) อยู่ที่ 86 คดี
- คดียุยงปลุกปั่น (ม.116) อย่างน้อย 9 คดี
- คดีฝ่าฝืนคำสั่ง คสช. อีก 44 คดี
ตัวเลขเหล่านี้ตอกย้ำว่า แม้ศาลทหารจะถูกมองว่าเกี่ยวพันกับคดีการเมืองในเชิงภาพลักษณ์ แต่ในทางสถิติ คดีที่เกี่ยวข้องกับการครอบครองอาวุธกลับมีจำนวนมากกว่าหลายเท่า
ปัญหาความล่าช้าและข้อจำกัดเชิงสิทธิ
อีกหนึ่งประเด็นที่น่าวิเคราะห์คือ ความล่าช้าในการพิจารณาคดีของศาลทหาร ซึ่งเกิดจากการที่ไม่มีการนัดพิจารณาอย่างต่อเนื่อง พยานในคดีมักเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งติดภารกิจราชการ อีกทั้งระบบการจัดสรรเวลาในศาลทหารไม่มีความเป็นอิสระเท่าศาลยุติธรรม ส่งผลให้จำเลยต้องใช้เวลาหลายปีในกระบวนการ โดยเฉพาะในคดีที่มีความสำคัญทางการเมืองหรือคดีที่เกี่ยวข้องกับเสรีภาพในการแสดงออก
นอกจากนี้ ยังมีข้อสังเกตเรื่องความโปร่งใสของกระบวนการ ตั้งแต่การออกหมายจับ การเปิดเผยข้อมูลคดี จนถึงการเข้าร่วมเป็นโจทก์ของพลเรือน ซึ่งตามกฎหมายแล้ว ในช่วงเวลาปกติ พลเรือนที่ไม่ได้อยู่ภายใต้กองทัพไม่มีสิทธิฟ้องคดีในศาลทหารเอง ต้องผ่านอัยการทหารเท่านั้น
ความเคลื่อนไหวด้านนิติบัญญัติ พลเรือนเป็นโจทก์ได้หรือไม่?
ล่าสุดในปี 2568 รัฐบาลมีแผนเสนอปรับปรุง พ.ร.บ.ธรรมนูญศาลทหารฯ โดยเปิดทางให้พลเรือนสามารถฟ้องคดีเองในศาลทหารได้ในบางกรณี รวมถึงเปิดสิทธิในการอุทธรณ์และฎีกาอย่างเท่าเทียมกับระบบศาลยุติธรรมทั่วไป อย่างไรก็ตาม กฎหมายดังกล่าวยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของรัฐสภา
ข้อเสนอเหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงความพยายามในการทบทวนบทบาทของศาลทหารให้เหมาะสมกับหลักนิติธรรมและมาตรฐานสิทธิมนุษยชน แต่ก็ยังมีแรงต้านจากฝ่ายความมั่นคงที่ให้ความสำคัญกับการควบคุมสถานการณ์ในช่วงเปลี่ยนผ่านทางการเมือง
เมื่อความยุติธรรมมีหลายบรรทัดฐาน
ระบบศาลทหารไม่ใช่สิ่งผิดปกติในตัวมันเอง ประเทศจำนวนไม่น้อยมีระบบตุลาการทหารไว้รองรับคดีเฉพาะทางในกองทัพ แต่ในบริบทของไทย การนำพลเรือนขึ้นศาลทหารในช่วงเวลาที่ไม่มีสงครามหรือภัยพิบัติร้ายแรง ก่อให้เกิดคำถามพื้นฐานต่อหลักการถ่วงดุลอำนาจและความเป็นธรรมในกระบวนการยุติธรรม
การถอดบทเรียนจากช่วงหลังรัฐประหาร 2557 จึงไม่ใช่เพียงแค่เรื่องสถิติหรือความเร็วในการพิจารณาคดี แต่คือการตั้งคำถามว่าศาลในประเทศหนึ่งควรมีมาตรฐานที่เสมอกันหรือไม่ และรัฐควรใช้กลไกพิเศษเช่นศาลทหารกับพลเรือนเมื่อใดและอย่างไร
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
