รีเซต

คดีน้องเมย ปิดฉากในศาลทหารแต่คำถามความยุติธรรมยังไม่จบ?

คดีน้องเมย ปิดฉากในศาลทหารแต่คำถามความยุติธรรมยังไม่จบ?
TNN ช่อง16
22 กรกฎาคม 2568 ( 16:13 )
15

สรุปคดีน้องเมย ภคพงศ์ ตัญกาญจน์ จากเหตุธำรงวินัยจนเสียชีวิต ปี 2560 สู่คำพิพากษาปี 2568 ที่จำคุกแต่รอลงอาญา ขณะที่ครอบครัวยังไม่ได้รับความชัดเจนเรื่องอวัยวะหายและความยุติธรรมในศาลทหาร

จุดเริ่มของโศกนาฏกรรม

น้องเมย ภคพงศ์ ตัญกาญจน์ หรือที่รู้จักกันในชื่อว่าน้องเมย เป็นนักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่หนึ่ง รุ่นปีการศึกษา 2560 ช่วงเดือนสิงหาคม ปีเดียวกัน เขาเริ่มมีอาการปวดศีรษะรุนแรงหลังจากถูกรุ่นพี่ลงโทษในลักษณะที่รุนแรง เช่น การยืนปักหัวในห้องน้ำ แม้แพทย์จะแนะนำให้หยุดฝึกแต่เขาก็ยังถูกสั่งให้ฝึกต่อจนร่างกายทรุดโทรมอย่างเห็นได้ชัด

ในคืนวันที่ 15 ตุลาคม น้องเมยถูกปลุกกลางดึกพร้อมกับเพื่อนอีกสองคน เพื่อรับโทษธำรงวินัยในห้องพักโดยอ้างว่าแจ้งอาการป่วย เขาถูกลงโทษด้วยการยึดพื้นต่อเนื่องและในวันต่อมาก็ถูกสั่งพุ่งหลังซ้ำหลายครั้งทั้งที่ยังไม่หายจากอาการเจ็บป่วย สุดท้ายในเช้าวันที่ 17 ตุลาคม เขาหมดสติหลังจากการลงโทษและเสียชีวิตในเวลาต่อมา

สัญญาณผิดปกติและการชันสูตรซ้ำ

หลังการเสียชีวิต แพทย์ทหารแจ้งว่าสาเหตุคือหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน แต่ครอบครัวพบร่องรอยบาดเจ็บหลายจุด ทั้งรอยฟกช้ำ กระดูกซี่โครงหัก ตับและม้ามฉีกขาด สิ่งที่ทำให้ครอบครัวสะเทือนใจมากที่สุดคือเมื่อมีการนำร่างไปชันสูตรซ้ำ กลับพบว่าอวัยวะสำคัญอย่างสมอง หัวใจ และกระเพาะอาหารหายไปโดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้า

ผลชันสูตรซ้ำจากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ในเดือนธันวาคม ปี 2560 ระบุว่าพบร่องรอยของการถูกทำร้ายร่างกายอย่างรุนแรง ซึ่งไม่สอดคล้องกับคำชี้แจงเดิมของกองทัพที่ระบุว่าเสียชีวิตจากโรคหัวใจ จุดนี้ทำให้ข้อสงสัยเรื่องเจตนาเริ่มปรากฏชัดเจนมากขึ้น

การเดินหน้าสู่กระบวนการยุติธรรม

ในปีถัดมา ตำรวจในจังหวัดนครนายกสอบปากคำพยานมากกว่า 10 ราย รวมถึงเพื่อนร่วมรุ่นและครูฝึก ก่อนที่อัยการจะมีคำสั่งฟ้องในต้นปี 2561 โดยฟ้องรุ่นพี่สองคนในข้อหาทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตาย และฟ้องครูฝึกหนึ่งรายในข้อหากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้เสียชีวิต

คดีเข้าสู่ศาลทหาร โดยมีกระบวนการพิจารณาที่ฝ่ายจำเลยสามารถใช้ทนายจากกองทัพ ขณะที่ครอบครัวของผู้เสียชีวิตไม่สามารถแต่งตั้งทนายฝ่ายพลเรือนอย่างเต็มที่ ความไม่สมดุลในการเข้าถึงสิทธิกระบวนการยุติธรรมจึงกลายเป็นอีกหนึ่งข้อคาใจที่ยังไม่ได้รับคำตอบ

คำพิพากษาที่ยังไม่จบในใจของสังคม

ในปี 2564 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าหลักฐานยังไม่เพียงพอ ครอบครัวยื่นอุทธรณ์ต่อจนคดีเข้าสู่ชั้นศาลฎีกาของศาลทหาร และในวันที่ 22 กรกฎาคม 2568 ศาลมีคำพิพากษาสุดท้ายให้จำคุกนักเรียนเตรียมทหารรุ่นพี่ทั้งสองคนเป็นเวลา 4 เดือน 16 วัน ปรับคนละ 15,000 บาท แต่ให้รอลงอาญา 2 ปี เนื่องจากยังเป็นเยาวชนและไม่มีประวัติกระทำผิด ศาลระบุว่าการลงโทษอย่างรุนแรงจะไม่ก่อประโยชน์เท่ากับการให้โอกาสปรับตัวใหม่

ถึงแม้คดีจะสิ้นสุดในทางกฎหมาย แต่ครอบครัวยังไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจนในหลายประเด็น ทั้งเรื่องอวัยวะที่หายไป ซึ่งจนถึงปัจจุบันยังไม่มีการคืนให้ครบ รวมถึงผลตรวจดีเอ็นเอที่ไม่ตรงกับน้องเมย และความคลุมเครือในการเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดี

คดีน้องเมยในบริบทของสถิติเหตุเสียชีวิตในระบบทหารไทย

แม้คดีน้องเมยจะเป็นกรณีที่ได้รับความสนใจสูงในสังคมไทย แต่ข้อเท็จจริงเชิงสถิติที่เกี่ยวข้องแสดงให้เห็นว่านี่ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างโดดเดี่ยว หรือเป็นเพียงความผิดพลาดเฉพาะกรณี ข้อมูลจากองค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ เช่น FIDH และ Amnesty International ชี้ว่าปัญหาการใช้ความรุนแรงในระบบฝึกทหารของไทยยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ

ระหว่างปี 2015 ถึงปี 2024 มีผู้เสียชีวิตจากการลงโทษทางร่างกายหรือการทำร้ายในสถานะนักเรียนเตรียมทหารและทหารเกณฑ์อย่างน้อย 17 ราย ซึ่งเป็นตัวเลขที่ได้รับการยืนยันโดยองค์กร FIDH โดยในจำนวนนี้มี 3 คดีเกิดขึ้นหลังจากพระราชบัญญัติป้องกันการทรมานและการบังคับให้บุคคลสูญหายมีผลบังคับใช้ในปี 2023 แต่มีเพียง 2 คดีเท่านั้นที่นำไปสู่การดำเนินคดีอาญาอย่างเป็นรูปธรรม

กรณีของน้องเมยจึงไม่ใช่จุดเริ่มต้น แต่เป็นส่วนหนึ่งในภาพรวมของปัญหาที่เกิดซ้ำซาก โดยก่อนหน้านั้นก็มีผู้เสียชีวิตจากการฝึกหนักหรือการลงโทษภายในสถาบันทหารหลายราย แต่กลับไม่มีการเปิดเผยต่อสาธารณะอย่างจริงจัง การเสียชีวิตของน้องเมยในปี 2560 กลายเป็นจุดเปลี่ยนเพราะครอบครัวตั้งคำถามต่อระบบและกล้าเดินหน้าเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

ข้อเรียกร้องที่ยังค้างคา

ครอบครัวของน้องเมยยังคงยืนยันว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมในหลายด้าน โดยเฉพาะสิทธิในการได้รับการชดเชยที่เหมาะสม ตลอด 8 ปีที่ผ่านมา พวกเขาได้รับเพียงค่าทำศพจำนวน 100,000 บาท โดยไม่มีการเยียวยาอื่นจากรัฐ ขณะที่ระบบศาลทหารเองยังเป็นประเด็นวิพากษ์จากหลายฝ่ายถึงความไม่เปิดกว้างและความยุติธรรมที่เท่าเทียม

นอกจากนี้ ยังมีคำถามจากสังคมว่าการลงโทษจำคุกแต่ให้รอลงอาญา สะท้อนถึงความเท่าเทียมทางกฎหมายหรือไม่ เมื่อพิจารณาถึงผลลัพธ์คือชีวิตของเยาวชนคนหนึ่งที่เสียไปอย่างไม่ควรเกิดขึ้น

จุดตัดของความเจ็บปวดและการเรียกร้องความจริง

คดีน้องเมยไม่ได้เป็นเพียงเรื่องราวของครอบครัวผู้สูญเสียเท่านั้น แต่กลายเป็นสัญลักษณ์ของความพยายามในการต่อสู้กับวัฒนธรรมรุ่นพี่รุ่นน้องที่ฝังรากลึกในสถาบันทหาร และตั้งคำถามต่อการมีอยู่ของระบบธำรงวินัยที่ยังไม่มีความชัดเจนในกติกา การพิจารณาโทษ และแนวทางป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำ

แม้คำพิพากษาจะถูกอ่านออกมาแล้ว และคดีจะปิดฉากลงในทางกฎหมาย แต่สำหรับสังคมไทย คดีน้องเมยยังคงเป็นบทเรียนสำคัญที่บอกเราว่า การปฏิรูปเชิงโครงสร้างในหน่วยงานรัฐและการสร้างหลักประกันด้านสิทธิมนุษยชนเป็นสิ่งที่ไม่ควรเลื่อนเวลาอีกต่อไป


อ้างอิง 
https://www.fidh.org/en/region/asia/thailand/thailand-first-convictions-under-anti-torture-act-over-death-of
https://www.thestar.com.my/aseanplus/aseanplus-news/2024/12/20/thai-military-probes-alleged-sexual-abuse-of-18-cadets-at-elite-academy
https://www.amnesty.org/en/wp-content/uploads/2021/05/ASA3919952020ENGLISH.pdf

ข้อมูลเพิ่มเติม 

ศาลทหารคืออะไร ทำไมคดีน้องเมยต้องขึ้นศาลทหาร

คดีน้องเมยเข้าสู่กระบวนการพิจารณาในศาลทหาร เนื่องจากลักษณะของเหตุการณ์และสถานะของผู้เกี่ยวข้องเข้าข่ายตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับศาลทหารโดยเฉพาะ

เหตุการณ์การเสียชีวิตเกิดขึ้นภายในโรงเรียนเตรียมทหาร ซึ่งอยู่ภายใต้เขตควบคุมของกองทัพไทย ผู้ที่เกี่ยวข้องในคดีทั้งรุ่นพี่และครูฝึกต่างเป็นบุคลากรในสังกัดทหาร และเหตุเกิดขณะยังอยู่ในสถานะผู้ใต้บังคับบัญชาของกองทัพ จึงอยู่ในขอบเขตอำนาจของศาลมณฑลทหารบก

กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาทหารกำหนดให้ศาลทหารมีอำนาจพิจารณาคดีอาญาที่เกิดขึ้นกับหรือโดยบุคลากรทหารในขณะปฏิบัติหน้าที่ หรือในสถานที่ที่เป็นเขตอำนาจของกองทัพ แม้คดีนี้จะมีองค์ประกอบที่สาธารณะให้ความสนใจสูง แต่ในทางกฎหมายยังถือว่าอยู่ภายใต้เขตอำนาจของศาลทหาร

ข้อถกเถียงสำคัญในคดีนี้คือผู้เสียหายเป็นพลเรือนแต่ไม่ได้มีสิทธิเลือกเข้าสู่ระบบศาลพลเรือน หรือใช้กระบวนการพิจารณาคดีตามหลักสากล เช่น การเข้าถึงทนายอิสระ หรือการมีคณะลูกขุน สร้างความกังวลถึงความไม่สมดุลของสิทธิในกระบวนการยุติธรรมระหว่างคู่กรณี

คำพิพากษาที่ออกจากศาลทหารแม้จะถือเป็นที่สุดในทางกฎหมาย แต่ยังเปิดพื้นที่ให้สังคมไทยตั้งคำถามว่า ระบบยุติธรรมที่แยกออกตามสังกัดองค์กรแบบนี้ ยังเหมาะสมกับการคุ้มครองสิทธิของพลเรือนในกรณีที่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่รัฐหรือไม่

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง