กต.แฉกัมพูชาหยอดกาวสลักทุ่นระเบิดขัดขวางการเก็บกู้ - แพร่ข่าวเท็จทำลายไทย

นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศแถลง ถึงพัฒนาการ สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาว่า คณะผู้สังเกตการณ์อาเซียนหรือเอโอที ได้ลงพื้นที่อย่างต่อเนื่องเพื่อรับฟังข้อ เท็จจริงจากเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานและประชาชนในพื้นที่เพื่อสะท้อนถึงความจริงใจและ เปิดเผย โปร่งใส ของฝ่ายไทย โดยวันที่ 14 พฤศจิกายนได้ลงพื้นที่ห้วย ตามาเรียและ หนองหญ้าแก้ว และวันที่ 17 พฤศจิกายน ลงพื้นที่ช่องอานม้า และ สัตตโสม ตรวจสอบกรณีทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดและตรวจพบระเบิดใหม่
ขณะที่วันเดียวกันก็ได้ลงพื้นที่ ตำบลเสาธงชัย กันทรลักษ์จังหวัดศรีสะเกษ ตรวจสอบจุดที่พบรุ่นระเบิดใหม่ที่มีการหยอดกาวเพื่อขัดขวางการถอดสลัก ซึ่งสะท้อนถึงท่าทีที่เป็นปฏิบัติของกัมพูชาอย่างชัดเจน และวันที่ 18 พฤศจิกายนได้ลงพื้นที่ปราสาทธนา อำเภอกาบ เชิงจังหวัดสุรินทร์ ตรวจสอบสถานการณ์ทุ่นระเบิดและการละเมิด ข้อตกลง ของฝ่ายกัมพูชา
ส่วนการเผยแพร่ข้อมูลเท็จและบิดเบือนของกัมพูชา ฝ่ายกัมพูชายังคงใช้สงครามข้อมูลข่าวสารอย่างต่อเนื่อง เผยแพร่ข้อมูล และจ้อมูลบิดเบือนอย่างเป็นระบบ โดยกล่าวหาทหารไทยกำลังเตรียมการโจมตีพื้นที ในจังหวัดโพธิสัตว์ในวันที่ 18 พฤศจิกายน ซึ่งกองทัพเรือออกมาชี้แจงทันทีไม่เป็นความจริงและไม่เกิดเหตุปะทะใดๆขึ้น และมีการกล่าวหาเจ้าหน้าที่ไทยทำร้ายไทย และล่วงละเมิดผู้ต้องหาหลบหนีเข้าเมืองผิดกฎหมายหญิงชาวกัมพูชาในจังหวัดจันทบุรี
กรณีนี้ไทย ขอประณามการกล่าวหาของกัมพูชาที่ไร้หลักฐานรองรับและมีจุดประสงค์เพื่อทำลายภาพลักษณ์ของไทย ในสายตาต่างประเทศ ซึ่งจากการตรวจสอบ จากทุกหน่วยงาน ยืนยันไม่พบเหตุการณ์ตามที่ถูกกล่าวหาและไม่มีหน่วยทหารจากไทยใดที่มีพฤติกรรมดังกล่าว ตามที่ถูกกล่าวอ้างการปฏิบัติการของไทยเป็นไปตาม กฎหมายไทย หลักการสิทธิมนุษยชน และหลักสากล เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และ ไม่เลือกปฏิบัติ ไม่ว่าจะอยู่ระหว่างดำเนินคดีหรือหลบหนีเข้าเมือง
เจ้าหน้าที่ไทยจะให้พักพิงให้อาหารครบทุกมื้อก่อนดำเนินการตามขั้นตอนส่งกลับประเทศอย่างเป็นระบบและมีหน่วยงานต่างๆร่วมภารกิจอย่างมีเอกภาพโปร่งใสและที่สำคัญคือการดำเนินการของไทยมีแนวปฏิบัติที่มีมาตรฐานชัดเจน การปฏิบัติการกับผู้หลบหนีเข้าเมืองเป็นกลุ่มไม่มีการให้อยู่เพียงลำพังดังนั้นมีสักขีพยานตลอดกระบวนการดูแลผู้หลบหนีเข้าเมือง พร้อมย้ำว่าประเทศไทยเคารพกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ และ หลักมนุษยธรรมโดยไทยเป็นภาคีตราสารด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศแปดฉบับจากเก้าฉบับ และ ได้ให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมแก่ผู้ลี้ภัยการสู้รบจากประเทศเพื่อนบ้านมาอย่างยาวนาน และ ไทยยังได้รับความไว้วางใจจากประชาคมระหว่างประเทศโดยได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชน แห่งสหประชาชาติถึงสองวาระ
การปฎิบัติตามคำมั่นสิทธิมนุษยชนของไทยได้รับการตรวจสอบจากกลไกทั้งภาครัฐและคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ดังนั้นฝ่ายไทยไม่ได้ให้ค่ากับข้อกล่าวหาดังกล่าวซึ่งเป็นข้อกล่าวหาไม่มีมูลและมีเจตนาร้าย ในสถานการณ์ที่สงครามข้อมูลข่าวสารปะทุขึ้นอีกครั้ง ขอความร่วมมือประชาชนระมัดระวังในการบริโภคข้อมูลข่าวสาร โดยตรวจสอบข้อมูลจากแหล่งข่าวทางการและขอความร่วมมือสื่อมวลชนตรวจสอบข้อมูลอย่างถี่ถ้วนก่อนนำเสนอข่าวเพื่อหลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข่าวปลอมที่อาจสร้างความเข้าใจผิดและความเสียหายโดยไม่ได้ตั้งใจ
นายนิกรเดช ยังกล่าวอีกว่า การประสานงานกับไทยและสหรัฐ หลังการหารือทางโทรศัพท์ระหว่างนายกรัฐมนตรีไทยกับประธานาธิบดีชั เมื่อ 14 พฤศจิกายนที่ผ่านมาล่าสุด ล่าสุด 18 พย นายกรัฐมนตรีได้มีหนังสืออีกหนึ่งฉบับถึงประธานประธานาธิบดีทรัมป์ เพื่อย้ำถึงการละเมิดถ้อยแถลงร่วมของกัมพูชารวมทั้งเค้าให้กัมพูชาไม่ขัดขวางปฏิบัติการเก็บกู้ทุนระเบิดของไทยและแสดงความ จริงใจที่จะปฏิบัติตามแถลงการณ์ร่วมและกลับเข้าสู่เส้นทางสันติภาพร่วมกับฝ่ายไทย ซึ่งท่าทีของไทยต่อสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชานั้นจากการเจรจาการค้าไทยสหรัฐยังคงเหมือนเดิมคือไทยเห็นว่าสองประเด็นแยกจากกัน
ขณะที่ประเด็นแรกเป็นเรื่องของความมั่นคงและประเด็นหลักเป็นเรื่องการค้าทวิภาคีที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างไทยสหรัฐ ที่สำคัญฝ่ายไทยไม่เห็นด้วยกับการถูกสองเรื่องไว้ด้วยกัน แต่หากฝ่ายสหรัฐจะมีบทบาทที่สร้างสรรค์ในเรื่องนี้ใฝ่ไทยก็ขอให้สหรัฐกดดันไปยังกัมพูชาให้ปฏิบัติตามแถลงการณ์ร่วมไทยกัมพูชาอย่างเคร่งครัด พร้อมขอให้มั่นใจหน่วยงานไทยทุกหน่วยงานจะปฏิบัติและดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของไทยในทุกมิติ
สำหรับ ความชัดเจนการเจรจาภาษีสหรัฐ และท่าทีของยูเอชทีต่อไทย จะยังคงการค้ากับไทยต่อหรือไม่ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศกล่าวว่านายกรัฐมนตรีได้คุยกับประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งไทยยึดสิ่งที่นายกรัฐมนตรีได้คุยกับประธานาธิบดีช้ำว่าขอให้แยกเรื่องดังกล่าวออกจากกันโดยไทยจะเดินหน้าเจรจาภาษีการค้าปกติซึ่งไทยต้องรอให้สหรัฐตอบกลับ โดยมั่นใจว่าสิ่งที่ไทยยึดถือคือสิ่งที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ตอบกลับฝ่ายไทย และก็จะมีการเจรจาตามขั้นตอนปกติ
ขณะที่ไทม์ไลน์การส่งหนังสือ ยูเอชทีอาร์ และการพูดคุยระหว่างนายกรัฐมนตรีไทยและประธานาธิบดีสหรัฐ ในวันที่ 14 พฤศจิกายน สหรัฐเป็นสักขีพยานถ้อยแถลงร่วมไทยกัมพูชา ตนไม่แน่ใจว่าสิ่งไหนเกิดขึ้นก่อนกัน ซึ่งการโทรศัพท์ระหว่างนายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีโดนัลด์ทรัมป์ เป็นเรื่องสำคัญที่สุด ดังนั้นหนังสือจึงไม่มีนัยยะสำหรับไทย แต่สิ่งที่มีสิ่งสำคัญคือท่าที การพูดคุยระหว่างผู้นำสองประเทศ ซึ่งฝ่ายไทยยังคงยืนยันไม่เห็นด้วยที่จะมีการผูกเรื่องภาษีกับการเจรจาสันติภาพเข้าด้วยกัน
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
