งูกัดแล้วกลับบ้านได้? วิเคราะห์ระบบเฝ้าระวังอาการ กับความเสี่ยงจาก ‘วินิจฉัยผิด’

กรณีงูกัดแล้วกลับบ้านจุดชนวนห่วงวินิจฉัยผิด วิเคราะห์ระบบเฝ้าระวังอาการ ชี้พิษบางชนิดแสดงช้า อาจรุนแรงถึงเสียชีวิต
งูกัดแล้วกลับบ้านได้?
วิเคราะห์ระบบเฝ้าระวังอาการ กับความเสี่ยงจาก ‘วินิจฉัยผิด’
กรณีโลกโซเชียลตั้งคำถามว่า “ถูกงูกัดแต่กลับบ้านได้” หลังมีผู้ป่วยรายหนึ่งถูกงูกัดในช่วงดึก พอไปโรงพยาบาลกลับไม่ได้รับการนอนพักดูอาการ และในวันรุ่งขึ้นกลับมีอาการหนัก พูดไม่ได้ หายใจติดขัด ก่อนกลับมารักษาใหม่และพบว่า “มีพิษงูในเลือด” – กำลังกลายเป็นที่จับตาของสังคม
แม้โรงพยาบาลที่เกี่ยวข้องยังไม่แถลงชี้แจงอย่างเป็นทางการ แต่กรณีนี้กำลังฉายภาพชัดเจนว่า “ระบบการเฝ้าระวังอาการผู้ถูกงูกัด” ของไทยยังมีจุดเปราะบาง และทำให้เกิดความเสี่ยงจาก “การวินิจฉัยผิดพลาด” โดยเฉพาะในกรณีที่ผู้ป่วยไม่มีอาการชัดในช่วงแรก
งูกัด ≠ ได้รับพิษเสมอไป ทำไมวินิจฉัยจึงยาก?
ข้อมูลจาก คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี ม.มหิดล ระบุไว้ชัดเจนว่า
“ในจำนวนผู้ถูกงูพิษกัด มีเพียง 1 ใน 3 เท่านั้นที่ได้รับพิษเข้าสู่กระแสเลือดจนเกิดอาการ”
(ที่มา: รามาธิบดีคลินิก, คู่มือการรักษาผู้ป่วยถูกงูกัด)
อีก 1 ใน 3 ได้รับพิษในระดับไม่รุนแรง มีเพียงอาการเฉพาะที่ เช่น ปวด บวม แต่ไม่มีอาการแทรกซ้อนทางระบบ ส่วนอีก 1 ใน 3 แม้จะถูกกัดโดยงูมีพิษ ก็ไม่ได้รับพิษเลย (dry bite)
อย่างไรก็ดี ความยากของการวินิจฉัยไม่ได้อยู่แค่พิษงู แต่คือ
ไม่เห็นงู ไม่รู้ชนิดงู ทำให้ไม่สามารถระบุแนวโน้มพิษได้
งูบางชนิด เช่น งูสามเหลี่ยม ทับสมิงคลา ไม่มีอาการบวมเฉพาะที่ แต่ออกฤทธิ์ทางระบบประสาทภายหลังหลายชั่วโมง
อาการมักแสดงช้า โดยเฉพาะงูพิษทางระบบประสาท ซึ่งช่วงแรกผู้ป่วยอาจยังดูปกติ
ระบบสังเกตอาการ 24 ชั่วโมง ควรมากกว่าแค่ "ปลอดภัยไว้ก่อน"
แนวทางเวชปฏิบัติที่อ้างอิงจาก รพ.รามาธิบดี และแนวทางขององค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำชัดเจนว่า
“ผู้ป่วยที่ถูกงูกัดโดยไม่สามารถระบุชนิดงูได้ หรือมีอาการไม่ชัดเจน ควรได้รับการสังเกตอาการในโรงพยาบาลอย่างน้อย 24 ชั่วโมง”
โดยเฉพาะงูที่มีพิษ neurotoxic เช่น งูเห่า งูจงอาง งูสามเหลี่ยม หากอาการแสดงช้าแต่กลับบ้านเร็ว อาจทำให้ การช่วยเหลือช้าเกินไป เมื่อพิษกระจายเข้าสู่ระบบประสาทและกล้ามเนื้อหายใจ
กรณีนี้สอดคล้องกับข้อค้นพบของ รพ.รามาธิบดี ที่ระบุว่า
“พิษงูที่มีฤทธิ์ต่อระบบประสาท มักแสดงอาการช้า เช่น หนังตาตก กล้ามเนื้ออ่อนแรง กลืนลำบาก และในที่สุดคือหายใจเองไม่ได้”
(ที่มา: บทความวิชาการ รพ.รามาธิบดี)
ตรวจเลือดไม่พบพิษ = ปลอดภัยจริงหรือ?
คำถามคือ หากแพทย์ตรวจเลือดแล้วไม่พบพิษในระบบ หมายความว่า “ปลอดภัย” แล้วหรือไม่?
ในทางคลินิก คำตอบคือ “ไม่แน่เสมอไป” เพราะหากตรวจเร็วเกินไป พิษยังไม่เข้าสู่กระแสเลือด ผลตรวจอาจเป็น ลบลวง (false negative)
บางระบบการตรวจ เช่น simple clotting test มีข้อจำกัด ใช้ได้กับงูที่มีพิษต่อเลือด เช่น งูกะปะ งูแมวเซา แต่ไม่ได้ผลกับพิษประสาท
วิธีตรวจทันสมัยอย่าง ELISA หรือ venom detection kits ยังไม่ใช่แนวทางปฏิบัติมาตรฐานใน รพ.ชุมชนทั่วประเทศ
ดังนั้น การเฝ้าสังเกตอาการร่วมกับประวัติและสภาพแวดล้อมจึงยังเป็น “เสาหลัก” ของการประเมินเบื้องต้น
ข้อควรรู้ งูบางชนิดไม่มีอาการเฉพาะที่ แต่พิษรุนแรง
ในคู่มือของ รพ.รามาธิบดี ระบุชัดว่า งูในกลุ่ม Elapidae เช่น งูสามเหลี่ยม งูทับสมิงคลา มีพิษต่อระบบประสาทแต่ไม่มีพิษต่อเนื้อเยื่อ (cytotoxin) จึงไม่พบอาการบวมบริเวณรอยกัด ทำให้หลายครั้ง “ดูไม่ออก”
“แผลไม่บวม ไม่แดง ไม่มีไข้ ไม่ได้แปลว่าไม่มีพิษเสมอไป”
(ข้อมูลทางคลินิกจาก: ศ.นพ.จุล กาญจนเจตนี และทีมแพทย์ รพ.รามาธิบดี)
ในกรณีของผู้ป่วยที่ถูกงูกัดกลางคืน โดยไม่เห็นตัวงู ไม่มีอาการบวม และถูกส่งกลับบ้าน แต่เช้ารุ่งขึ้นเริ่มมีอาการระบบประสาท อาจเป็นไปได้ว่าเป็นพิษแบบ neurotoxic ซึ่งออกฤทธิ์ช้า
รอแถลง รพ. – แต่ไม่ควรรอปรับปรุงระบบ
แม้กรณีล่าสุดยังอยู่ระหว่างการสอบข้อเท็จจริง และไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าเกิดความบกพร่องในกระบวนการวินิจฉัยหรือไม่ แต่สิ่งที่สามารถดำเนินการได้ทันที คือ:
- ทบทวนแนวทางเวชปฏิบัติระดับชาติ ในการจัดการผู้ป่วยถูกงูกัด โดยเฉพาะใน รพ.ชุมชน
- เสริมองค์ความรู้ให้บุคลากรด่านหน้า โดยอิงจากข้อมูลจาก รพ.รามาธิบดี และองค์การอนามัยโลก
- พัฒนาเครื่องมือตรวจวินิจฉัยแบบ field test ให้เข้าถึงง่ายในระดับอำเภอหรือตำบล
งูกัดอาจไม่ตาย – แต่วินิจฉัยผิดอาจถึงชีวิต
เหตุการณ์นี้อาจไม่ใช่ครั้งแรก และคงไม่ใช่ครั้งสุดท้าย แต่ถ้าเรายังไม่ปรับระบบให้แม่นยำ ตั้งแต่ด่านแรกของการวินิจฉัย ความเสี่ยงต่อชีวิตผู้ป่วยก็จะยังคงอยู่
เพราะงูอาจไม่ได้ฆ่า — หากความเข้าใจที่ผิดของระบบการรักษาต่างหาก ที่ฆ่าโดยไม่ตั้งใจ