หุ้นไทยผันผวน ! กังวลฟองสบู่หุ้น AI-การเมืองกดตลาด โบรกแนะ 8 หุ้นปลอดภัย

ตลาดหุ้นไทยสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนี ปิดที่ระดับ 1,302.91 จุด ลดลง 0.50% มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 36,224.60 ล้านบาท ลดลง 13. 8% หลังตลาดกลับมากังวลประเด็นภาวะฟองสบู่ในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของสหรัฐฯ โดยเฉพาะหุ้นในธุรกิจปัญญาประดิษฐ์ (AI) มีมูลค่าที่สูงเกินจริง ประกอบกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจสหรัฐฯ หลังเกิดปัญหาชัตดาวน์ที่ยังคงยืดเยื้อและทำสถิติยาวนานสุดในประวัติศาสตร์เป็นปัจจัยถ่วงตลาด
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์หน้าจะเป็นอย่างไร หลังตลาดหุ้นทั่วโลกเริ่มกลับมากังวล AI Bubble นักลงทุนจะต้องปรับพอร์ตการลงทุนมากน้อยแค่ไหน ปัจจัยบวก-ลบที่ต้องติดตามมีอะไรบ้าง และหุ้นตัวไหนที่ยังน่าลงทุนและน่าเก็งกำไร ในวันนี้ TNN Online ได้สัมภาษณ์กูรูตลาดทุน จะมีรายละเอียดอย่างไรบ้างนั้น ตามไปส่องกันเลยค่ะ
เริ่มจาก “ภราดร เตียรณปราโมทย์" ผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซียพลัส ฉายภาพว่า ตลาดหุ้นไทยกลับมาผันผวน หลังเดือนนี้ผ่านมาได้เพียง 6 วัน ดัชนีลงตามตลาดหุ้นสหรัฐฯ หลังดัชนี NASDAQ ร่วงหนักสุด -2.8% ลงมากสุดในรอบ 32 สัปดาห์ หรืออาจเป็นเดือนแรกที่ติดลบ หลังบวกติดต่อกันมา 8 เดือน พร้อมกับอาจทำลายสถิติที่สะสมมาตลอด 13 ปี คือ เดือน พ.ย. ตลาดหุ้น NASDAQ บวกติดต่อกันทุกปี 13 ปีติด ตั้งแต่ปี 2555 ถึง 2567
หลังเห็นสัญญาณ "Hindenburg Omen" เกิดขึ้นอีกครั้ง ซึ่งเตือนว่าตลาดหุ้นขึ้นลงแรง ๆ พร้อมกัน แต่ไปทางลงมากกว่า โดยจากข้อมูลในอดีตถ้าเกิดสัญญาณดังกล่าว จะตามมาด้วยการปรับฐานเสมอ โดยตลอด 8 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้น NASDAQ เคยเกิด สัญญาณ HINDENBURG OMEN มาแล้ว 5 ครั้ง ปรับฐานทุกครั้ง -10%, -15%, -5%, -38%, -24% และปัจจุบันก็เพิ่งเกิดขึ้นครั้งที่ 6 และถ้ายิ่งมีสัญญาณนี้จะยิ่งเป็นการเตือนมากขึ้น
นอกจากนี้ตลาดหุ้นสหรัฐแพงขึ้นกว่าในอดีตมาก ล่าสุด MARKET CAP อยู่ที่ 61.4 ล้านล้านเหรียญ สูงกว่า GDP 29.18 ล้านล้านเหรียญ ถึง2.1 เท่า ภาวะปกติต้องไม่ควรเกิน 1 เท่า
ขณะที่หุ้น “Magnificent Seven” หรือหุ้นเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ ได้แก่ Nvidia, Microsoft, Apple, Alphabet, Amazon, Meta และ Tesla มี P/E รวมกันอยู่ที่ 34 เท่า ซึ่งปกติถ้าถึงในระดับดังกล่าวจะปรับตัวลงมาประมาณ 20% ดัชนี S&P 500 จะลงประมาณ 13% ส่งผลให้หุ้นไทยลงประมาณ 10%
หันกลับมาที่ตลาดหุ้นไทย แม้ว่าที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติเข้าซื้อหุ้นไทย แต่ถ้าตลาดหุ้นสหรัฐร่วงตลาดหุ้นไทยก็จะปรับตัวลงตามเช่นกัน โดยตลาดหุ้นไทยบิดเบี้ยวขับเคลื่อนด้วย หุ้นใน SET 100 มีเพียง 22 ตัวที่ให้ผลตอบแทน YTD เป็นบวก โดยเฉพาะ DELTA +50.16% จนมี MARKET CAP สูงถึง 2.85 ล้านล้านบาท ใกล้เคียง 4 หุ้น ใหญ่รวมกัน คือ PTT, ADVANC, GULF และ AOT)
และถ้าเทียบกับหุ้นขนาดเล็กรวมกัน 622 หุ้น จาก 693 หุ้น ทำให้เกิดความเสี่ยงจาก การกระจุกตัวของมูลค่า และส่งผลให้นักลงทุนส่วนใหญ่ที่ถือหุ้นนอกกลุ่มผู้นำรู้สึกว่าพอร์ตของตนเองไม่ได้เติบโตตามดัชนี ซึ่งถือเป็นจุดที่บั่นทอนความน่าลงทุนของตลาดหุ้นไทย โดยหุ้นที่ให้ผลตอบแทนโดดเด่นจะมีเพียง กลุ่มชิ้นอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มสื่อสาร และกลุ่มแบงก์
“ การที่หุ้น DELTA ให้ผลตอบแทนสูงถึง 50.16% ทำให้เกิด "BIG CAP EFFECT" หรือ DELTA EFFECT ดันให้ดัชนี SET ดูดีกว่าความเป็นจริง ขณะที่หุ้นส่วนใหญ่กว่า 600 ตัวใน SET กลับมีผลตอบแทนที่แย่หรือติดลบ ตั้งแต่ต้นปี(YTD)ซึ่งภาวะดังกล่าว สื่อถึงประเทศไทยกำลังเผชิญการฟื้นตัวที่ไม่ทั่วถึง (K-SHAPE RECOVERY) โดยมีเพียงบางกลุ่มธุรกิจที่ได้ประโยชน์จากเมกะเทรนด์ เช่น DELTA ขณะที่กลุ่มธุรกิจดั้งเดิม (OLD ECONOMY) หรือกลุ่มที่พึ่งพาเศรษฐกิจในประเทศยังคงอ่อนแอ และรอมาตรการกระตุ้นในอนาคต”
สำหรับตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์หน้าเสี่ยงพักฐาน ปัจจัยลบจากการเกิดสัญญาณ HINDENBURG OMEN ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นโลก และหุ้นไทย
ซึ่งต้องติดตาม “ชัตดาวน์” ในสหรัฐฯ ว่า พรรคเดโมแครต-รีพับลิกันจะได้ข้อสรุปเมื่อไหร่ หลังจากที่ยังไม่ได้ข้อยุติทำให้ชัตดาวน์ในสหรัฐใช้เวลาเกินมากกว่า 38 วันแล้ว จากเดิมที่ 34 วันถือว่ามากสุดเป็นประวัติศาสตร์ และถ้าลากยาวเกิน 45 วัน จะส่งผลกระทบต่อจีดีพีในไตรมาส 4/68 ร่วงประมาณ 1.5%
นอกจากนี้ติดตามคำตัดสินของศาลฎีกาสหรัฐฯ เกี่ยวกับมาตรการเก็บภาษีนำเข้าทั่วโลก หลังจากได้กำหนดการนัดไต่สวนเมื่อวันที่ 5 พ.ย. 68 ที่ผ่านมา ขณะที่ผลการสำรวจของ POLYMARKET คาดการณ์ ว่าศาลฎีกาสหรัฐฯ จะตัดสินให้ภาษีตอบโต้ของทรัมป์ “แพ้” มีความน่าจะเป็นสูงถึง 71 % สำหรับ ผลกระทบที่ตามมา BLOOBERG คาดว่าสหรัฐฯ อาจคืนเงินให้บริษัทกว่า 140,000 ล้านดอลลาร์หลัง ภาษี IEEPA คิดเป็น 63% ของภาษีที่เรียกเก็บตั้งแต่ต้นปีและรายได้จากภาษีใหม่รวมกว่า 114,800 ล้าน ดอลลาร์ รวมถึงติดตามสถานการณ์การเมืองในประเทศว่า จะมีการยุบสภาฯ ก่อนกำหนดหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาปัจจัยลบต่างประเทศ และการเมืองของไทยเป็นปัจจัยกดตลาด โดยประเมินกรอบแนวรับแรกที่ 1,280 จุด แนวรับถัดไปที่ 1,260 จุด แนวต้านที่ 1,320 จุด
ด้านกลยุทธ์การลงทุนในช่วงที่ตลาดเกิดความผันผวน ต้องปรับพอร์ตลงทุนถือเงินสดประมาณ 20-30% เลือกซื้อหุ้นที่ Valuation ราคาปรับตัวลงมามาก เช่น
- หุ้น AAV ปีนี้หุ้นย่อลงมา 57% ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันขาลง ราคาเป้าหมาย (คอนเซนซัส) อยู่ที่ 1.23-1.37 บาท
- หุ้น WHA P/E 10 เท่า ปีนี้ย่อลงมา 42% ถ้าเรื่องศาลฎีกาตัดสินการขึ้นภาษี “ทรัมป์” แพ้และคืนเงินให้ประเทศที่เก็บภาษีนำเข้าเพิ่ม จะทำให้นักลงทุนกลับมาลงทุนเพิ่ม ราคาเป้าหมาย 4.36 บาท
- หุ้น MINT มี P/E 17 เท่า ราคาหุ้นถูกสุดในกลุ่มท่องเที่ยว แนะทยอยสะสมราคาเป้าหมาย 29 บาท
- หุ้น BLA มี P/E ถูกเพียง 6.3 เท่า ราคาปรับตัวลงมา 15% รับผลดีจากภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัว ราคาเป้าหมาย(คอนเซนซัส) อยู่ที่ 22.50 บาท
- หุ้น CPF มี P/E ถูกเพียง 6 เท่า ราคาสุกรเริ่มฟื้นตัว ราคาเป้าหมาย 24.50 บาท
ส่วนเม็ดเงินลงทุนในตลาดหุ้นไทยเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในต้นเดือนพ.ย. นี้ พบว่า ต่างชาติซื้อหุ้นอินโดนีเซียมากสุด 152 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซื้อหุ้นไทยสุทธิ 44 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 1,400 ล้านบาท ยกเว้นตลาดหุ้นเกาหลีใต้ขายสุทธิ 4,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไต้หวันขายสุทธิ 2,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เวียดนามขายสุทธิ 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และฟิลิปปินส์ขายสุทธิ 7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ดัชนีหุ้นเกาหลีใต้ติดลบ 3.7% ไต้หวันติดลบ 2.1% ฟิลิปปินส์ติดลบ 2.9% เวียดนามติดลบ 1.4% ยกเว้นไทยบวก 0.2% และอินโดนีเซียบวก 2.6%
ฟาก “ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์" AISA, CFTe ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย บล.กรุงศรี ประเมินว่า ตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์หน้าคาดว่าแกว่งไซด์เวย์-ไซด์เวย์อัพ ประเมินแนวต้านแรกที่ 1,317 จุด แนวต้านถัดไปที่ 1,331 จุด แนวรับ แรกที่ 1,289 จุด แนวรับถัดไปที่ 1,274 จุด แรงหนุนจาก Flow ต่างชาติไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทย หลังจากความเสี่ยงต่างๆทั้งสงครามการค้ามีสัญญาณบวก ทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐฯ และดอกเบี้ยในประเทศมีโอกาสปรับลง ผสานกับแนวโน้มการ Upgrade Thai GDP เพิ่มขึ้น ขณะที่กำไร บจ.ไทย เริ่มเห็นการปรับขึ้นต่อเนื่อง หนุนเงินบาทกลับมาแข็งค่า
โดยประเด็นสำคัญในสัปดาห์หน้าคือ เงินเฟ้อของสหรัฐในเดือน ต.ค. ตัวเลขเศรษฐกิจจีน ตัวเลขตลาดบ้านและภาคการผลิต ส่วนในประเทศใกล้โค้งสุดของรายงานประกาศงบไตรมาส 3/68 ของ บริษัทจดทะเบียนไทย รวมถึงจับตา ครม.ออกมาตรการมาตรการแก้หนี้ช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยที่มีหนี้ไม่ต่ำกว่า 1 แสนบาท ด้วยการจัดตั้ง AMC ให้ซื้อหนี้เสียจากสถาบันการเงิน หนุนหุ้นกลุ่ม Rate Cut Cycle(การเงิน เกี่ยวกับมาตรการแก้หนี้ , กลุ่มหนี้สูง) กลุ่ม Deep Value (โรงกลั่น ปิโตรเคมี)
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดหุ้นไทย
- ติดตามความพยายามในการผ่านร่างงบประมาณประจำปีสหรัฐฯ เพื่อแก้ปัญหา Government Shutdown ที่เริ่มขึ้นตั้งแต่ 1 ต.ค. ที่ผ่านมา
- 13 พ.ย. ติดตามรายงานเงินเฟ้อ CPI ต.ค.ของสหรัฐฯ คาด +0.3%m-m, +3.1%y-y จากเดิมอยู่ที่ +0.3%m-m, +3.0%y-y
- 14 พ.ย. ติดตามรายงานดัชนีค้าปลีก ต.ค.-ของสหรัฐฯ
- 14 พ.ย. รายงาน GDP ไตรมาส 3 ของยุโรป ครั้งที่สอง คาดว่า +0.2%q-q, +1.3%y-y เท่ารอบก่อน
- 14 พ.ย. ติดตามรายงานกิจกรรมเศรษฐกิจจีนเดือน ต.ค. ได้แก่ ดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรม คาด +5.5% จากเดิมอยู่ที่ +6.5% ดัชนีค้าปลีก คาด +2.8%y-y จากเดิมอยู่ที่ +3.0%y-y และ การลงทุนในสินค้าคงทน คาด -0.9%ytd y-y
- ติดตามการประชุม ครม. ประจำสัปดาห์
- การประกาศงบไตรมาส 3/68 ของ Real Sector หลายบริษัท PTTGC, TASCO, QH, BJC, CKP ILM ฯลฯ คาดหุ้นกำไร 3Q25 เด่นจะเป็นเป้าเก็งกำไร
หุ้นเด่นสัปดาห์นี้ : แนะนำ
- MTC (TPF58.0): 1 ในหุ้นได้ประโยชน์สูงจากมาตรการแก้หนี้ ให้จัดตั้ง AMC ซื้อหนี้เสีย(NPLs) ผสานได้กระแสบวกจากดอกเบี้ยขาลง
- KTB (TPF-30.0) : 1 ในหุ้นได้ประโยชน์จากมาตรการแก้หนี้ จัดตั้ง AMC ซื้อหนี้เสีย (NPLs)
- GULF (TPF-59.0) : คาดกำไร 4Q25F เติบโต y-y, q-q และกลับไปทำ All time high
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
