รีเซต

ความจริงของ “รีไซเคิลขั้นสูง” รู้ว่าแพง ไม่เวิร์ก แต่ยังถูกขายฝัน

ความจริงของ “รีไซเคิลขั้นสูง” รู้ว่าแพง ไม่เวิร์ก แต่ยังถูกขายฝัน
TNN ช่อง16
15 พฤษภาคม 2568 ( 11:00 )
8

เมื่อวิกฤตขยะพลาสติกกลายเป็นหนึ่งในประเด็นสิ่งแวดล้อมที่ผู้คนทั่วโลกให้ความสนใจมากขึ้น อุตสาหกรรมพลาสติกก็เร่งผลักดันทางออกใหม่ในชื่อที่ฟังดูน่าตื่นเต้นว่า “รีไซเคิลขั้นสูง” หรือ “รีไซเคิลเชิงเคมี” (Advanced Recycling / Chemical Recycling) โดยโฆษณาว่าสามารถเปลี่ยนขยะพลาสติกกลับไปเป็นวัตถุดิบเดิมเพื่อนำไปผลิตเป็นพลาสติกใหม่ได้ “ครั้งแล้วครั้งเล่า”


แต่เบื้องหลังของความหวังนี้ กลับเต็มไปด้วยคำถามถึงความเป็นไปได้ทั้งในแง่เทคนิคและเศรษฐศาสตร์ ซึ่งอุตสาหกรรมเองก็รู้มานานแล้วว่ามีข้อจำกัด นี่คือประเด็นหลักของรายงานล่าสุดจาก Center for Climate Integrity (CCI) กลุ่มรณรงค์ด้านความรับผิดชอบของอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิล


การ “รีไซเคิลขั้นสูง” หรือที่เรียกว่า “chemical recycling” หมายถึงกระบวนการที่ใช้ในการย่อยสลายพลาสติกให้กลับไปเป็นโมเลกุลพื้นฐาน โดยผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมพลาสติกผลักดันเทคโนโลยีนี้มากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เพื่อตอบรับกระแสความกังวลจากสาธารณชนเกี่ยวกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพจากมลพิษพลาสติก

แม้บริษัทพลังงานรายใหญ่จะพยายามสื่อสารว่ารีไซเคิลขั้นสูงคือเทคโนโลยีล้ำสมัยที่เพิ่งเกิดขึ้น เช่น วิดีโอของ Chevron Phillips ในปี 2020 ที่ระบุว่ากระบวนการนี้เป็น “นวัตกรรมปฏิวัติวงการ” หรือซีอีโอของ ExxonMobil ที่เรียกมันว่า “เทคโนโลยีใหม่ล่าสุด” ในปี 2023 แต่ความจริงก็คือ แนวคิดนี้มีมาตั้งแต่ทศวรรษ 1950 และถูกกล่าวถึงว่าเป็นทางออกของขยะพลาสติกตั้งแต่ยุค 1970 ตัวอย่างเช่น โบรชัวร์ของสมาคมอุตสาหกรรมพลาสติกในปี 1977 ที่พูดถึงการใช้กระบวนการไพโรลิซิส (Pyrolysis) เพื่อเปลี่ยนขยะพลาสติกให้กลับมาเป็นวัตถุดิบตั้งต้น อย่างไรก็ตาม การนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้ในระดับอุตสาหกรรมจริงกลับมีปัญหาเรื้อรังมาหลายทศวรรษ โดยเฉพาะเรื่องต้นทุนสูง การใช้พลังงานมาก และการจัดการของเสีย


รายงานของ CCI ระบุว่าอุตสาหกรรมรู้ถึงข้อจำกัดเหล่านี้มาโดยตลอด เอกสารจากปี 1991 เคยระบุว่า “กระบวนการเหล่านี้ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ” และในปี 1994 ผู้บริหารของ Exxon Chemical เองก็เรียกไพโรลิซิสว่า “ไม่มีความคุ้มทุนโดยพื้นฐาน” แม้บริษัทอย่าง ExxonMobil จะยังลงทุนต่อ โดยอ้างว่ากระบวนการนี้ “คุ้มค่า” และใช้งานได้จริง เช่น การรีไซเคิลพลาสติกกว่า 80 ล้านปอนด์ที่โรงงานในรัฐเท็กซัส แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายรายยังตั้งข้อสงสัยถึงความยั่งยืนและความโปร่งใสของข้อมูลที่เปิดเผย


อีกหนึ่งจุดอ่อนสำคัญของรีไซเคิลเชิงเคมีก็คือ แม้จะถูกโฆษณาว่าสามารถเปลี่ยนขยะเป็นพลาสติกใหม่ แต่ในความเป็นจริง โรงงานส่วนใหญ่กลับผลิต “เชื้อเพลิง” แทน ซึ่งหมายถึงการเปลี่ยนขยะพลาสติกให้กลายเป็นน้ำมันหรือก๊าซเพื่อนำไปเผาใช้งาน ไม่ได้วนกลับมาเป็นพลาสติกเหมือนเดิม สิ่งนี้ทำให้เกิดคำถามว่า นี่คือ “เศรษฐกิจหมุนเวียน” จริงหรือไม่ หากผลลัพธ์สุดท้ายคือการปล่อยคาร์บอนกลับสู่บรรยากาศ

แม้จะอ้างว่าสามารถจัดการขยะพลาสติกได้ทุกรูปแบบ แต่เทคโนโลยีนี้มักใช้ได้ผลกับขยะที่สะอาดและคัดแยกแล้วเท่านั้น ขยะที่หลากหลายจากครัวเรือนทั่วไปกลับกลายเป็นวัตถุดิบที่จัดการได้ยากและมีต้นทุนสูง ทำให้โรงงานส่วนใหญ่นำเข้าเฉพาะเศษพลาสติกที่มาจากกระบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งไม่มีสีและไม่มีสารปนเปื้อน


สิ่งที่โฆษณาไม่เคยพูดถึงคือผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม กระบวนการรีไซเคิลขั้นสูงปล่อยมลพิษจำนวนมาก ทั้งก๊าซเรือนกระจกและสารพิษอื่น ๆ รายงานของที่ปรึกษา Roland Berger ในปี 2024 ยังระบุถึง “คาร์บอนฟุตพริ้นท์ที่สูงมาก” ของกระบวนการนี้ แม้บางบริษัทยอมรับว่าต้อง “ให้ความสำคัญกับผลกระทบสิ่งแวดล้อม” แต่ในทางปฏิบัติ กลับไม่มีการเปิดเผยข้อมูลผลกระทบเหล่านี้อย่างจริงจังต่อสาธารณะ


สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือการครอบงำของอุตสาหกรรมใน “ระบบข้อมูล” เกี่ยวกับรีไซเคิลเชิงเคมี รายงานของ CCI เตือนว่า ประชาชนมักได้รับข้อมูลที่ผ่านการคัดกรองและประชาสัมพันธ์จากฝั่งอุตสาหกรรมเท่านั้น ขณะที่เสียงของนักวิชาการและนักสิ่งแวดล้อมที่เตือนถึงข้อเสีย กลับไม่ได้รับความสนใจ 


ดังนั้น การผลักดันรีไซเคิลขั้นสูงอย่างต่อเนื่องโดยไม่พูดถึงข้อจำกัดอาจเป็นการสร้างความเข้าใจผิดต่อสาธารณะ และหากข้อค้นพบของรายงานนี้นำไปสู่การฟ้องร้องเพิ่มเติม เช่นเดียวกับกรณีของรัฐแคลิฟอร์เนียที่ฟ้อง ExxonMobil เมื่อปี 2024 นั่นอาจเปลี่ยนโฉมหน้าอุตสาหกรรมพลาสติกในอนาคต ในระหว่างนี้ บทบาทของสื่อและองค์กรภาคประชาสังคมคือการช่วยกันตั้งคำถาม ถามหาความโปร่งใส และให้ข้อมูลที่รอบด้าน เพื่อไม่ให้ “ทางออก” ของขยะพลาสติก กลายเป็นแค่ภาพลวงตาอีกครั้ง

ข่าวที่เกี่ยวข้อง