เลือกตั้ง 2569 : การเมืองไทยหลังยุคลุง และนโยบายหาเสียงหันสู่ชาตินิยม

การเลือกตั้ง 2569 เกิดขึ้นเร็วกว่าที่เราคาดคิด ทั้งยังเป็นการเลือกตั้งในรอบ 3 ปี หลังประเทศไทยเปลี่ยนนายกฯ ไปถึง 3 คน
แน่นอนว่าในสถานการณ์ที่การเมืองไทยเปลี่ยนไป และประเทศเจอวิกฤตหลายด้านทั้งใน และนอกประเทศนั้น กลยุทธ์ และนโยบายการหาเสียงของพรรคการเมืองต่างๆ ก็เปลี่ยนไป โดยเฉพาะที่ 3 ป. หรือลุงๆ จากคณะรัฐประหารแทบไม่มีบทบาททางการเมืองแล้ว
TNN Online พูดคุยกับ ผศ.ดร.วีระ หวังสัจจะโชค คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ถึงการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในเลือกตั้งรอบนี้ โดยเฉพาะหลังไม่มีขั้วการเมืองอย่างลุง และกระแสโลกหันขวา
การเมืองไทยหลังยุคลุง เมื่อการหาเสียงชูนโยบายชาตินิยม
ย้อนกลับไปสู่การเลือกตั้ง 2 ครั้งล่าสุด ภายหลังการรัฐประหาร ภาพการหาเสียง การออกนโยบาย และขั้วทางการเมืองนั้น ดูจะแบ่งเป็นสองฝั่ง ของฝั่งที่เอาลุง หรือพร้อมจะจับมือกับ 3 ป. เหล่าทหารในคณะ คสช. ที่เปลี่ยนโฉมมาเป็นนักการเมือง
แต่การเลือกตั้งครั้งหน้านี้ คำว่า 3 ป. (ประยุทธ์, ประวิตร และอนุพงษ์) ตัวละครที่เราเรียกว่า ลุง และพรรคทหารนั้น จืดจางลงไป ไม่ได้เป็นตัวละครหลักแล้ว ซึ่ง อ.วีระก็ชี้ว่าทำให้พรรคการเมืองต่างๆ ต้องหากลยุทธ์ และวิธีใหม่ในการหาศัตรูทางการเมือง
“ในทางการเนี่ย 3 ป. มันไม่เหลือแล้ว เพราะฉะนั้นใน 3 พรรคใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นพรรคเพื่อไทย พรรคประชาชน และก็พรรคภูมิใจไทย ต่างเป็นนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งทั้งสิ้น ในเชิงการแข่งขันกัน ยุทธศาสตร์ในการหาเสียงที่บอกว่ามีเราไม่มีลุง หรือการหาเสียงเรื่องประชาธิปไตย อิทธิพล ในการหาเสียงโดยใช้การหาเสียงแบบนี้มันจะลำบากยิ่งขึ้น เพราะว่าศัตรู หรือขั้วตรงข้ามไม่ชัดเจนแล้ว
เพราะฉะนั้นการหาเสียงก็ต้องปรับพื้นฐานมาเป็นการหาเสียงเรื่องคุณภาพชีวิต แล้วก็การเปลี่ยนศัตรูคนใหม่ ถ้าเราสังเกตดีๆ ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา ศัตรูคนใหม่คือประเทศเพื่อนบ้าน และกลุ่มสแกนเมอร์ที่อาศัยประเทศเพื่อนบ้านของเรา ด้วยเหตุเช่นนี้ ในทุกพรรคการเมืองในการเลือกตั้งครั้งนี้ก็จะหันมาเล่นเกม ที่อาจจะหันไปทางขวามากยิ่งขึ้นด้วย
พรรคที่เป็นเสรีนิยมหน่อยก็จะพูดเรื่องทุนเทา สแกมเมอร์ ในขณะที่พรรคที่มีความเป็นอนุรักษ์นิยมหน่อยก็จะพูดถึงเรื่องความรักชาติ การรักษาเอกภาพของดินแดน เพราะฉะนั้นในเชิงการเลือกตั้งครั้งนี้ มีภาพการเปลี่ยนแปลงไปในระดับนึง แต่ต้องดูดีๆ ว่าคู่ขัดแย้งในอดีตเรา เป็น ทหารกับประชาธิปไตยใช่ไหมครับ แต่ครั้งนี้ ผมมองว่า แม้ว่าจะเปลี่ยนแปลง แต่มันไม่ได้เปลี่ยนร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะยังมีกลุ่มอำนาจที่เรียกว่ากลุ่มพลังจากระบบราชการคอยถืออำนาจในครั้งนี้อยู่เช่นเดียวกัน” ซึ่งอาจารย์หมายถึงกองทัพที่ยังมีบทบาทในสถานการณ์ต่างๆ แต่สุดท้ายก็ยอมรับว่า กลุ่มที่ยึดโยงกับการรัฐประหารปี 57 เริ่มหายไปแล้ว
แต่จากการมีชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยที่เคยเกิดขึ้นในไทยช่วงปี 2564 และกระแสเสรีนิยมที่เฟื่องฟูในไทย ตอนนี้ดูมาทีท่าว่าโดนกระแสอนุรักษ์นิยมแทนที่ อาจารย์วีระก็มองว่าเป็นเทรนด์คล้อยตามไปกับกระแสโลก จากที่เสรีนิยมที่เฟื่องฟูขึ้นในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ตอนนี้ ได้เทิร์นกลับเป็นขวาอีกครั้ง เหตุการณ์ที่เห็นได้ชัดในไทย คือ สถานการณ์วิวาทะกับกัมพูชา ที่ยกระดับเป็นการสู้รบ
“เราจากประเทศที่เคยพูดถึงเรื่องการปฏิรูปกองทัพ วันนี้ไม่มีการพูดถึงแล้ว ยกเลิกเกณฑ์ทหารไม่ถูกพูดถึงแล้วเช่นเดียวกัน เพราะปัญหาชายแดนที่เราปลุกปั่นกันเพื่อล้มพรรคเพื่อไทย ตรงนี้สำคัญมากก็คือ ภายใต้บริบทของสังคมที่ต้องการล้มรัฐบาลเพื่อไทย คือนายกฯ 2 คน คือ แพทองธาร เศรษฐา ได้ปลุกผีตัวหนึ่งที่น่ากลัวกว่า คือ ‘ผีชาตินิยม’ ขึ้นมาจากสถานการณ์เรื่องชายแดนระหว่างไทย–กัมพูชา
แน่นอน ความขัดแย้งมันเกิดขึ้น มีผู้เสียชีวิตจริง แต่มีกลุ่มคนใช้สถานการณ์ความขัดแย้งดังกล่าว มาช่วงชิงจัดการฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง แล้วมันอันตราย เพราะเมื่อปลุกผีชาตินิยมกลับมาแล้ว เราคนไทยก็จะหาศัตรูตลอดเวลา ทำให้เกิดพวกอินฟลูเอนเซอร์ที่ไปกล่าวหาประเทศเพื่อนบ้านว่าเป็นศัตรู ทำลายความมีเหตุมีผลของประชาชนที่เราพยายามจะสร้างขึ้นมาในการเลือกตั้ง
เพราะฉะนั้น ในการเลือกตั้งครั้งนี้ เราจะเห็นบทบาทของพวกอินฟลูฝ่ายขวาที่รับงานพรรคการเมืองมากยิ่งขึ้น เพื่อบอกว่า ถ้าเลือกพรรคเรา เท่ากับรักชาติ เราก็จะเริ่มเห็นปรากฏการณ์นี้ในหลาย ๆ พรรคแล้ว แค่เป็นชาติในคนละเวอร์ชั่นกัน แทนที่จะพูดถึงเสรีภาพของปัจเจกบุคคล”
อาจารย์ชี้ว่า เสรีนิยมยังคงมีอยู่ แต่จะเป็นเสรีนิยมที่ถูกจำกัด จากการเลือกตั้งปี 2566 ที่เคยพูดได้ถึงประเด็นปฏิรูป ม.112 หรือยกเลิกเกณฑ์ทหาร เรื่องเหล่านี้ก็จะพูดลำบากมากขึ้น เรียกได้ว่า เส้นแบ่งที่บอกว่าเราจะทะลุเพดานได้มากขนาดไหน ถูกกดให้ต่ำลง ขณะที่หากพรรคการเมืองอยากได้คะแนนก็ต้องมาเล่นเกมชาตินิยมมากขึ้นแทน
ซึ่งเมื่อนโยบายจับกระแสชาตินิยมมากขึ้นแล้ว กลุ่มคนที่แต่ละพรรคจะหันไปโฟกัส และหวังคะแนน อาจจะไม่ใช่ First time voter เหมือนครั้งก่อนๆ แต่คือ Gen X มากขึ้น
“จำนวนเกือบ 35-40% คือกลุ่มคนอายุ 55 ปีขึ้นไป ที่เราพูดกันว่าเป็น Gen X และนี่มันก็สะท้อนภาพสังคมไทยที่เป็นสังคมผู้สูงอายุ เพราะฉะนั้น ก้อนที่พรรคการเมืองจะต้องไปขาย ทำนโยบายขาย คือขายคนแก่ ขนาดพรรคประชาชนที่บอกว่าเป็นพรรคคนรุ่นใหม่ ยังต้องไปขายเรื่องเบี้ยผู้สูงอายุ ในขณะที่พรรคการเมืองอื่น แน่นอนมีระบบเครือข่ายระบบอุปถัมภ์ มี อสม. มีกำนันผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งคนกลุ่มนี้ใกล้ชิดกับผู้สูงอายุ ดังนั้นจะเห็นภาพการหาเสียงกับบุคคลที่อยู่ในวัยที่เป็น Gen x หรือ Gen y ตอนต้นที่สำคัญมากยิ่งขึ้น”
พลังดูดภูมิใจไทย เปลี่ยนฉากทัศน์การเลือกตั้ง 69
เอกณัฎ พร้อมพันธุ์ , จุติ ไกรฤกษ์ , สุชาติ ชมกลิ่น , นิพนธุ์ บุญามณี , สันติ พร้อมพัฒน์ ,โกศล ปัทมะ , ศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ รวมถึงบ้านใหญ่โคราช ตระกูลรัตนเศรษฐ ที่ออกมาจากพรรคพลังประชารัฐมาสักพักใหญ่ ไปถึงวราวุฒ ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา นี่คือรายชื่อของเหล่านักการเมืองที่ย้ายเข้าภูมิใจไทย
ยังไม่รวมถึงนักการเมืองอีกมากมาย ทั้งจากใต้ อีสาน แสดงถึงเป้าหมายจะปักธงทั้่วประเทศ ซึ่งความพยายามนี้ จะทำให้ภาพการเลือกตั้งรอบนี้เปลี่ยนไปแน่นอนจากกระแสพลังดูด แสดงให้เห็นถึงความต้องการเป็นพรรคอันดับ 1 ของพรรคน้ำเงินในครั้งนี้
ซึ่งอาจารย์ววีระมองว่า เปรียบเทียบได้กับพรรคไทยรักไทยในอดีต ที่รวมพรรคเล็กพรรคน้อยมารวมกัน และชนะถึง 377 ที่นั่ง
“แต่พรรคไทยรักไทยบริหารได้แค่ปีเดียว มีแต่คนทะเลาะกัน แต่ละกลุ่มแต่ละก้อนแย่งอำนาจกัน แล้วก็ทำงานไม่ได้สุดท้ายโดนรัฐประหาร พรรคภูมิใจไทยก็อาจจะกลับไปเป็นภาพเดิม เพราะว่าในอดีตเนี่ยเราเห็นพรรคภูมิใจไทยแถวตรง หัวหน้าพรรคพูดอะไรคนที่เหลือทำตามหมด เพราะว่าเขามีศูนย์กลางอำนาจจุดเดียว บริหารแบบซีอีโอ สั่งการปุ๊บ บ้านที่เหลือยอมรับฟังหมด
แต่ครั้งนี้เนี่ยเค้าเอาบ้านที่มีความคิดที่แตกต่างกันมากเกินไป ทั้งอีสาน ทั้งเหนือล่าง และก็ภาคใต้ นี่คือ 3 พื้นที่หลักที่ภูมิใจไทยพยายามจะเจาะเข้าไป แต่การที่คุณเอาบ้านที่มีลักษณะที่มันแตกต่างกัน และนักการเมืองที่เป็นบ้านใหญ่พวกนี้มันย้ายพรรคทุกรอบ ผลมันก็คือเค้าคุณจะไม่สามารถที่จะควบคุมเบ็ดเสร็จแบบที่จะบอกให้ทุกคนแถวตรงได้ ก็จะเริ่มมีพวกแบบตั้งกลุ่มก้อนออกมาต่อรอง หรือเป็นพวกที่พูดตรงๆ คือไม่ฟังเนวิน ชาดา หรืออนุทิน พรรคภูมิใจไทยจะไม่เป็นพรรคที่เป็นแถวตรงเหมือนเดิม เว้นแต่จะมีสัญญาณพิเศษที่บอกให้ทุกคนแถวตรง
โดยตัวเอง คุณคุมบ้านใหญ่ที่มีเยอะขนาดนี้ไม่ได้หรอก หรืออย่างน้อยที่สุด คุณก็ต้องจัดตัวเองไปเป็นเหมือนพรรคเพื่อไทยที่เป็นพรรคที่มีมุ้ง มุ้งน้อยเต็มไปหมดในพรรค ผมเลยมองว่า ภูมิใจไทยที่ดูเหมือนใหญ่ จะใหญ่แบบชั่วคราว”
นอกจากภาพของบ้านใหญ่ ที่พรรคน้ำเงินดูดมาแล้ว ยังมีภาพของเทคโนแครตที่เอาเข้ามาร่วมทีม และประกาศว่าจะตั้งเป็นรองนายกฯ ด้วย ซึ่ง อ.วีระเองก็มองว่า ชาวบ้านจริงๆ ไม่ได้ให้ความสนใจ เพราะพวกเขาไม่ได้ลงมาหาเสียงกับนักการเมืองจริงจัง คนที่ให้ความสนใจกับเทคโนแครตนั้น คือ ชนชั้นกลางในกรุงเทพฯ และสื่อหลักเท่านั้น รวมถึงจริงๆ เองพรรคภูมิใจไทยเป็นพรรคที่ไม่ได้มีคะแนนนิยมเรื่อง สส.บัญชีรายชื่อ
แต่นอกจากพลังดูด สส.เข้าพรรคแล้ว ก็ทำ MOA กับพรรคประชาชน ได้พรรคสีส้มมาโหวตเลือกอนุทินเป็นนายกฯ รอบล่าสุดนั้น อ.วีระก็มองว่า จะทำให้คะแนนของพรรคประชาชนถูกดูดออกไป ได้รับผลกระทบเช่นกัน “การไปโหวตให้ภูมิใจไทยคือการเปิดประตูให้เกิดปัญหาทุกเรื่องที่เราเห็นในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ไม่ว่าพรรคประชาชนจะบอกว่าเราโหวตให้เค้าโดยไม่เป็นรัฐบาล ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ เพราะคนคาดหวังว่าถ้าพรรคประชาชนไปเป็นรัฐบาลกับภูมิใจไทย อย่างน้อยการประชุม ครม. อย่างน้อยการบริหารจัดการปัญหาน้ำท่วม น่าจะทำได้ดีกว่านี้เพราะคนเชื่อมั่นพรรคประชาชน แต่ด้วยการที่คุณไปโหวตให้เค้าฟรีและคุณมาเป็นฝ่ายค้าน และหลังจากนั้นเกิดปัญหาชายแดนเกิดปัญหาน้ำท่วม พรรคประชาชนหนีความรับผิดชอบตรงนี้ไม่พ้น และตรงนี้มันทำให้แฟนคลับ หรือโหวตเตอร์ของพรรคประชาชนที่เชื่อว่าคุณจะไปโหวตเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศ กลับกลายเป็นว่าคุณไปโหวตเพื่ออยากได้ประนีประนอม” ซึ่งเป็นสิ่งที่นักรัฐศาสตร์ท่านนี้มองว่า ไม่ใช่สิ่งที่แฟนคลับพรรคประชาชนต้องการ
“พอคุณมีนิสัยเป็นประนีประนอม สุดท้ายภาพพรรคประชาชน ก็จะไม่ต่างจากพรรคประชาธิปัตย์ หรือพรรคเพื่อไทย ที่พร้อมจะเจรจาต่อรอง เพื่อเป้าหมายไม่ว่าจะเป็นการแก้รัฐธรรมนูญหรือเรื่องอะไรก็ตาม แต่คุณพร้อมที่จะลดเพดานตัวเอง และเมื่อคุณพร้อมที่จะทำแบบนั้น โหวตเตอร์ที่ชอบพรรคประชาชนจริงจริงเนี่ย เค้าก็จะถอยออกมา
พรรคประชาชนก็ต้องต้องระวังดีๆ ว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ จะวางจุดยืนของตัวเอง ให้กลับมาเป็นพรรคที่มีความเข้มแข็ง แบบพรรคอนาคตใหม่กับพรรคก้าวไกล”
กับดักรัฐธรรมนูญ 60 และการทำประชามติ
จากการเลือกตั้ง 2 ครั้งที่ผ่านมา ที่เรามีรัฐธรรมนูญ 60 ทำให้เราได้เห็นภาพของการต้องจับมือของแต่ละพรรค กลายเป็นการร่วมรัฐบาล ซึ่งหลังเลือกตั้งครั้งนี้ ก็มีแนวโน้มว่าจะเป็นเช่นนั้นอีกเช่นกัน
“รัฐธรรมนูญปี 60 เป้าหมายคือการทำให้พรรคการเมืองกระจัดกระจายเป็น พรรคเล็กพรรคน้อย และต้องการให้เกิดรัฐบาลผสม ด้วยเหตุเช่นนี้เนี่ย ในสภาพของรัฐธรรมนูญแบบนี้ การเลือกตั้งมันจะไม่ใช่ตัวตัดสินว่าใครจะเป็นรัฐบาล แต่ผลจากการเลือกตั้ง และการต่อรองหลังจากนั้นต่างหาก คือตัวตัดสินว่าใครจะเป็นรัฐบาล เพราะฉะนั้นประชาชนแทบจะไม่ สารถบอกได้เลยว่าใครจะเป็นนายกฯ แม้ว่าพรรคอันดับ 1 กับอันดับ 2 บางทีอาจจะตั้งรัฐบาลไม่ได้
ภาพตรงนี้ เราจะได้เห็นพรรคที่ผมมองเป็นพรรคอันดับ 3 หรืออาจจะเป็นพรรคการเมือง อื่นที่มีจำนวน สส. ประมาณ 25 คน ให้เพียงพอ ที่จะเสนอบัญชีนายกฯ ขึ้นมา เป็นนายกรัฐมนตรี และนี่คือปัญหาของรัฐธรรมนูญปี 2560 พอเดาได้ ครม. ที่เป็น รัฐบาลผสมหลายหลายพรรค คุณมีนโยบายที่บูรณาการกันไม่ได้ มันเกิดการแบ่งเค้กกระทรวง สุดท้ายมันก็กลายเป็นสภาพที่เราเห็นหลังเลือกตั้งปี 62 เป็นต้นมา การเปลี่ยนแปลงจริงๆ จังไม่มี มีแต่แจกคนละครึ่งบ้าง คนละพันบ้าง”
ดังนั้นในการเลือกตั้งครั้งนี้ ที่มีการจัดทำประชามติเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญดวยนั้น อ.วีระมองว่า มันจะกลายเป็นประเด็นสำคัญสอดคล้องกับพรรคการเมืองที่ต้องพูดถึงในเรื่องนี้ รวมไปรัฐบาลที่มาหลังเลือกตั้งเอง ก็ต้องแสดงท่าทีกับประเด็นนี้ด้วย
“ทำประชามติพร้อมกับเลือกตั้ง นี่มันอาจจะเป็นตัวส่งสัญญาณ บางอย่าง ถ้าประชามติแบบถล่มทลายแบบ 60% อยากให้แก้รัฐธรรมนูญ แล้วสุดท้าย รัฐบาลหลังจากนั้นก็ต้องมองว่าประชามติครั้งนี้คือมันเป็น wake up call จากประชาชน คุณจะไม่แก้รัฐธรรมนูญไม่ได้ ถ้าคนบอกว่าอยากแก้รัฐธรรมนูญมากกว่าครึ่งประเทศแบบนี้ มันสำคัญ และจะช่วยกำหนดทิศทางของรัฐบาลชุดหน้าไปด้วย แต่ถ้าเปิดประชามติออกมาคนมามีส่วนร่วมน้อย หรือคนโหวตไม่รับเนี่ย ผมมองว่านี่จะเป็นปัญหาใหม่ของการเมืองไทยเลย คือเราจะอยู่กับประเทศที่เราจะกลับไปเป็นยุค สมัยคล้ายคล้ายพลเอกเปรม ปี พ.ศ. 2520 ยุคแบบนั้นคือประชาชนใช้ประชาธิปไตย 4 วินาที หลังจากนั้นก็รอว่าเค้าจะแจกตังค์อะไรบ้าง สิทธิเสรีภาพ หรือการมีส่วนร่วม ไม่มี และมันจะนำมาสู่ปัญหาของประเทศเราในอีกหลายหลายเรื่อง ถ้าเราไม่สามารถจัดการกับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้”
ซึ่งนอกจากรัฐธรรมนูญที่เป็นประเด็นที่จะเกิดขึ้นหลังการได้รัฐบาลใหม่แล้ว และเป็นหนึ่งสิ่งที่ อ.วีระมองว่ารอคอย และมองว่าควรเป็นประเด็นอันดับ 1 ของรัฐบาลต่อไป ในประเทศไทยในปีที่ผ่านมา และในปี 2569 ต่างก็ยังมีปัญหาต่างๆ ที่รอให้รัฐบาลได้แก้ไขอยู่แล้ว
“อีกเรื่องนึงก็คือ การพาสถานะของประเทศไทยกลับมาให้เป็นที่ยอมรับของประชาคมโลกอีกครั้ง ว่า เป็นประเทศที่เปิดรับสันติภาพ ส่งเสริมการค้าชายแดน สร้างความร่วมมือในการจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างชายแดน ไม่ว่าจะเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ ไม่ว่าเป็นการจัดการปัญหาหมอกควัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง แสกมเมอร์ คุณต้องจัดการด้วยสันติวิธี เราไม่ใช่ประเทศที่จะไปขู่คนอื่น หรือเป็นประเทศที่จะไปรุกรานคนอื่น เราไม่ต้องการประเทศไทยแบบนั้น เพราะว่าสันติภาพมันสร้างยากมากกว่าสงคราม แล้วเราอยากให้รัฐบาลชุดใหม่เนี่ยเดินไปในทางนี้
และก็เรื่องสุดท้ายก็หนีไม่พ้นครับ ปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชน เพราะตอนนี้มันเป็นเรื่องใหญ่ จริงๆ คนละครึ่งหรือการแจกเงินหมื่นในรัฐบาลเพื่อไทย มันไม่สามารถที่จะทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ความแตกต่างทางรายได้ยังมีอยู่ สูงกลุ่มคนที่รวย 20% ของประเทศเนี้ย ถือครองความมั่งคั่งมากกว่า 80% ผมว่าแบบนี้มันก็ทำให้ประเทศเรามีปัญหา ผมก็เราก็คาดหวังว่ารัฐบาลแม้จะทำให้คนรวมเท่ากันไม่ได้ แต่อย่างน้อยที่สุดก็อย่าให้มันห่างกันจนน่าเกลียดแบบนี้” อาจารย์ทิ้งท้ายถึงความคาดหวังต่อรัฐบาลหน้า
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
