รีเซต

"ทองคำ" แข็งแกร่ง รับสหรัฐฯ "ชัตดาวน์" ยืดเยื้อ เสี่ยงสะเทือนเศรษฐกิจโลก

"ทองคำ" แข็งแกร่ง รับสหรัฐฯ "ชัตดาวน์" ยืดเยื้อ เสี่ยงสะเทือนเศรษฐกิจโลก
TNN ช่อง16
10 ตุลาคม 2568 ( 08:00 )
15

สหรัฐฯ "ชัตดาวน์" จากการเมืองสะเทือนถึงเศรษฐกิจ


ครั้งแรกในรอบเกือบ 7 ปี รัฐบาลสหรัฐฯ ถูกสั่งปิดทำการ หรือ "Government Shutdown" หน่วยงานที่ไม่จำเป็นถูกสั่งปิดชั่วคราว พนักงานกว่า 7 แสนคนถูกสั่งพักงาน ส่วนหน่วยที่จำเป็นแม้ต้องไปทำงานต่อแต่ก็จะไม่ได้รับเงินเดือน 


ประเทศสหรัฐอเมริกา ภายใต้การบริหารประเทศของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้เข้าสู่ภาวะที่เรียกว่า "government shutdown" เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2025 ซึ่งเป็นไปตามกฏหมายของสหรัฐฯ  จากปัญหาเรื่องการอนุมัติงบประมาณ เนื่องจากสภาคองเกรส จะจัดสรรงบประมาณให้กับรัฐบาลกลาง (Federal government) ในทุกปีงบประมาณ ซึ่งจะเริ่มต้นในวันที่ 1 ตุลาคม แต่ถ้าหากสภาฯ ไม่สามารถผ่านร่างงบประจำปีได้ หรือข้อตกลงชั่วคราว ที่เรียกว่า CR (continuing resolution) ได้ทันก่อนกำหนด 1 ตุลาคม รัฐบาลกลางก็จะถูกชัตดาวน์  ทำให้หน่วยงานรัฐบาลจำนวนมากต้องหยุดทำงานโดยเฉพาะหน่วยที่ไม่จำเป็น ขณะที่งานบริการสำคัญอย่างความมั่นคงและสาธารณสุขยังเดินหน้าต่อแต่เจ้าหน้าที่อาจต้องทำงานโดยไม่มีเงินเดือน 


การชัตดาวน์ที่เกิดในรอบนี้ไม่ใช่ครั้งแรก แต่เกิดขึ้นมาแล้วกว่า 10 ครั้งในประวัติศาสตร์การเมือง แต่ในครั้งนี้ เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 6 ปี จากครั้งสุดท้ายเมื่อช่วงปี 2018–2019 และที่น่าตกใจ คือ ครั้งล่าสุด ก็เกิดขึ้นในยุคของผู้นำที่ชื่อทรัมป์คนนี้เช่นกัน กับการบริหารประเทศสมัยแรกทรัมป์ 1.0  ในช่วงเดือนธันวาคมปี 2018  โดยตอนนั้นทรัมป์ต้องการบีบให้สภาอนุมัติงบประมาณ 11 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อสร้างกำแพงระหว่างประเทศสหรัฐฯ และเม็กซิโก ซึ่งสุดท้ายทรัมป์ก็ต้องยอมแพ้แก่เดโมแครต และต้องหันไปใช้คำสั่งประธานาธิบดีประกาศภาวะฉุกเฉินแห่งชาติ เพื่ออนุมัติงบพิเศษเพื่อสร้างกำแพงแทน


กลับมาที่การชัดดาวน์สหรัฐฯ 2025 สาเหตุของวิกฤตครั้งนี้ ก็ยังคงมาจากความขัดแย้งของการเมืองในประเทศ ระหว่างสองพรรคใหญ่ในรัฐสภา คือ รีพับลิกัน และเดโมแครต และหนนี้ คือ ปมเรื่องงบประมาณมูลค่า 1.7 ล้านล้านดอลลาร์ (หรือประมาร 63 ล้านล้านบาท) ที่สองพรรคนั้นมีความเห็นไม่ลงรอยไม่ตรงกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้เงินในนโยบายด้านประกันสุขภาพตาม  "Affordable Care Act" (ACA) และงบ Medicaid หรือที่มีชื่อเล่นว่า โอบามาแคร์ (Obamacare) ที่กำลังจะหมดอายุสิ้นปีนี้ โดยฝ่ายของเดโมแครตที่มีความภาคภูมิใจและใช้นโยบายนี้เป็นฐานเสียง ต้องการให้มีการขยายสิทธิประโยชน์ด้านสุขภาพต่อไป แต่ในขณะที่รีพับลิกันกลับต้องการตัดงบลดการใช้จ่าย ทำให้ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถหาฉันทามติได้ 


การถูกปิดเครื่องของรัฐบาลกลางทำให้พนักงานรัฐมากกว่า 750,000 คน  ถูกพักงาน ซึ่งทั้งหมดนี้มีรายได้ต่อวันรวมกันที่ 400 ล้านดอลลาร์ (หรือประมาณ 1.3 หมื่นล้านบาท) และยังพนักงานอีกหลายแสนคนต้องทำงานโดยไม่มีค่าจ้าง หน่วยงานสาธารณสุขและวิจัยถูกพักงานกว่า 40–70% ส่งผลให้บริการสาธารณะลดประสิทธิภาพ ผู้รับเหมารายย่อยก็จะไม่ได้รับเงินระหว่างนี้ ส่วนสมาชิกรัฐสภายังได้รับเงินเดือนตามปกติ ส่วนข้อมูลสำคัญๆ จากหน่วยงานต่างๆ รวมถึงตัวเลขด้านเศรษฐกิจ เช่น แรงงาน และเงินเฟ้อ ก็ต้องหยุดเผยแพร่ไปด้วย ทำให้ตลาดการเงินและนโยบายของธนาคารสหรัฐ หรือ Fed ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอน 


ตามปกติแล้วการชัตดาวน์ส่วนใหญ่ของสหรัฐฯ ที่ผ่านมาจะกินเวลาแค่ประมาณ 1-3 วัน และนานที่สุดคือการชัตดาวน์ครั้งล่าสุดเมื่อปี 2018-2019 ในสมัยรัฐบาลทรัมป์ 1.0  โดยคราวนั้นกินเวลายาวนานถึง 35 วัน หรือเดือนกว่า กระทบต่อเจ้าหน้าที่รัฐ 8 แสนคนที่ไม่ได้รับเงินเดือน สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจมากกว่า 3 พันล้านดอลลาร์ (หรือประมาณ 1.1 แสนล้านบาท) หรือคิดเป็น 0.2% ของ GDP


"ชัตดาวน์" ยิ่งนาน ยิ่งแย่ เกมการเมืองยืดเยื้อ เศรษฐกิจเสียหาย

 

เศรษฐกิจจะเสียหายหนักแค่ไหน ขึ้นอยู่กับเวลา ซึ่งไม่ได้นับแค่สหรัฐฯ แต่หมายถึงเศรษฐกิจโลกที่จะปั่นปวนไปด้วย  แม้กระทั่งไทยก็ต้องเฝ้าระวังจับตาอย่างใกล้ชิด 


เอสแอนด์พี โกลบอล เรทติ้งส์ (S&P Global Ratings) ประเมินว่าการชัตดาวน์ จะมีผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ (หรือ GDP )ของสหรัฐฯ โดยการที่รัฐบาลปิดทำการทุกๆหนึ่งสัปดาห์ จีดีพีจะหดตัวลงไปประมาณ 0.1–0.2% และยังเตือนว่าการชัตดาวน์จะมีผลกระทบทางอ้อมที่อาจหนักขึ้นหรือสะสมมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป เช่น เมื่อพนักงานที่ถูกพักงาน (furlough) หรือลดการใช้จ่าย และเมื่อการเผยแพร่ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญล่าช้า ก็อาจจะทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟดเผชิญความไม่แน่นอนมากขึ้น



"ทองคำ" รับอานิสงส์ สหรัฐฯ "ชัตดาวน์" ความเสี่ยง-ผันผวนตลาดการเงินโลก 


ก่อนหน้านี้ บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง จำกัด ชี้ว่ากรณีรัฐบาลสหรัฐฯ ประสบภาวะชัตดาวน์ฉุดความเชื่อมั่น ส่งผลเศรษฐกิจโลกสั่นคลอน ตราบใดที่สหรัฐฯ ยังอยู่ในภาวะชัตดาวน์ ราคาทองอาจปรับตัวลงได้ยาก ในทางกลับกัน แม้รัฐบาลจะสามารถบรรลุข้อตกลงด้านงบประมาณได้ ราคาทองก็มีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อ เพราะนักลงทุนยังคงมีความกังวลต่อผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว 


ความตึงเครียดระหว่างรัสเซีย-ยูเครน และตะวันออกกลางยังเป็นฉนวนเสี่ยง แต่แรงส่งรอบล่าสุดมาจาก “วิกฤตการเมืองสหรัฐฯ” หลังสภาคองเกรสไม่ผ่านงบประมาณ จนทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะชัตดาวน์ (Government Shutdown) ตั้งแต่เที่ยงคืนของวันที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งฉุดความเชื่อมั่นตลาด กดดันดอลลาร์สหรัฐฯ และหนุนแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ ราคาทองจึงทำสถิติสูงสุดใหม่อีกครั้งในช่วงเริ่มชัตดาวน์ ขณะที่นักลงทุนต่างคาดการณ์ว่ามีโอกาสที่เฟดจะลดดอกเบี้ยเร็วขึ้น สืบเนื่องจากสภาพแวดล้อมและข้อมูลทางเศรษฐกิจล่าช้าหรือเลื่อนประกาศออกไป เพราะหน่วยงานรัฐปิดทำการ


 

ยิ่งชัตดาวน์ยืดเยื้อ ทองคำยิ่งแข็งแกร่ง


ความน่าจะเป็นล่าสุดชี้ให้เห็นว่า การชัตดาวน์ของรัฐบาลสหรัฐฯ อาจยืดเยื้อกินเวลาโดยเฉลี่ยราว 11 วัน ทั้งนี้ นักลงทุนส่วนมากเชื่อว่ามีโอกาสสูงถึง 67% ที่รัฐบาลจะกลับมาเปิดทำการหลังวันที่ 15 ตุลาคม 2568 โดยมีการประเมินความน่าจะเป็น ดังต่อไปนี้


– รัฐบาลสามารถเจรจาหาทางออก โดยใช้เวลา 4-9 วัน ความน่าจะเป็นอยู่ที่ 4%


– รัฐบาลสามารถเจรจาหาทางออก โดยใช้เวลา 10-29 วัน ความน่าจะเป็นอยู่ที่ 66%


– รัฐบาลสามารถเจรจาหาทางออก โดยใช้เวลามากกว่า 30 วัน ความน่าจะเป็นอยู่ที่ 27%



ย้อนดูราคาทองกับภาวะ "ชัตดาวน์" สมัยทรัมป์ 1.0 


– ครั้งที่ 1 วันเสาร์ที่ 20-วันจันทร์ที่ 22 มกราคม 2561 (รวม3 วัน) 

หลังจากเปิดทำการ 1 สัปดาห์ราคาทองโลกปรับตัวขึ้น 17.8 ดอลลาร์


– ครั้งที่ 2 วันศุกร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2561 (ภายในวัน) 

หลังจากเปิดทำการ 1 สัปดาห์ราคาทองโลกปรับตัวขึ้น 28.1 ดอลลาร์


– ครั้งที่ 3 วันเสาร์ที่ 22 ธันวาคม 2561-วันศุกร์ที่ 25 มกราคม 2562 (35 วัน) 

ราคาทองในช่วง 35 วันปรับเพิ่มขึ้น 25.3 ดอลลาร์(จาก 1,255.3 ดอลลาร์สู่ 1,280.8 ดอลลาร์) 

และหลังจากเปิดทำการ 1 สัปดาห์ ราคาทองโลกปรับตัวขึ้น 36.4 ดอลลาร์


ข้อมูลจากศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประเมินเบื้องต้นของคาดว่า การเกิด U.S. Government Shutdown ครั้งนี้มีโอกาสยืดเยื้อสูง ประกอบกับระบบเศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากมาตรการกีดดันทางการค้าอยู่แล้ว หากมีการปิดทำการของหน่วยงานของรัฐเกิน 1 ไตรมาสจะทำให้จีดีพีสหรัฐฯ ลดลงไม่ต่ำกว่า 1% โดยการลดลงของจีดีพีสหรัฐฯ ในระดับดังกล่าวจะส่งแรงกดดันต่ออัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกและมูลค่าการค้าระหว่างประเทศอย่างมีนัยยสำคัญ และแน่นอนว่าจะมาซ้ำเติมภาคส่งออกและภาคท่องเที่ยวของไทยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ได้เช่นกัน


ขณะเดียวกันการชัตดาวน์ยังได้เพิ่มความเสี่ยงและความผันผวนต่อตลาดการเงินทั่วโลก กรณียืดเยื้อจะยิ่งเพิ่มความผันผวน และกลายเป็นความเสี่ยงที่สหรัฐฯ อาจถูกปรับลดเครดิตความน่าเชื่อลงได้อีกในอนาคต และทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนในการถือครองดอลลาร์และพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ลดลงไปอีก และภาวะดังกล่าวจะทำให้สหรัฐฯต้องมีการใช้มาตรการผ่อนคลายการเงินและการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อต่อสู้กับการชะลอตัวของเศรษฐกิจมีข้อจำกัดมากขึ้น


"นายอนุสรณ์ ธรรมใจ" ผู้อำนวยการศูนย์ DEIIT  กล่าวว่า ผลกระทบของ "U.S. Government shutdown" ต่อ "ตลาดการเงิน" จะยิ่งทำให้มีการโยกเงินมาลงทุนในตลาดทองคำเพิ่มขึ้น ทำให้ราคาทองปรับขึ้นได้อีกในระยะต่อไป ซึ่งทาง Goldman Sachs และ J.P. Morgan คาดว่าราคาทองคำยังมีทิศทางขาขึ้นต่อมีโอกาสแตะระดับ 3,900-4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์  โดยได้แรงหนุนจากความคาดหวังการลดดอกเบี้ยของเฟด ดอลลาร์ที่อ่อนค่า และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ-การเมือง เช่น ความเสี่ยง Government Shutdown ของสหรัฐฯ

SCB FM ชี้ "สหรัฐฯ ชัตดาวน์" มีผลกระทบต่อค่าเงินบาท


กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB Financial Markets: SCB FM) เปิดเผยว่า เงินบาทกลับมาอ่อนค่าลง หลังจากที่แข็งค่าแตะระดับสูงสุดในรอบ 4 ปีเมื่อช่วงกลางเดือนกันยายน 2568 โดยพบว่าปัจจัยที่เคยหนุนให้บาทแข็งค่า เช่น ราคาทองคำ และดัชนีเงินดอลลาร์ กลับมาเป็นปัจจัยที่ทำให้บาทอ่อนในช่วงนี้ นอกจากนี้ หาก US government shutdown จบลง อาจทำให้บาทอ่อนค่าได้อีก มองกรอบระยะสั้นที่ 32.40-32.90 แต่ในระยะยาวมองบาทกลับมาแข็งค่าได้ แต่ในอัตราที่ไม่มากนัก เนื่องจากปัจจัยด้านแข็งค่า เช่น ส่วนต่างดอกเบี้ยระหว่างสหรัฐฯ และเงินทุนเคลื่อนย้าย จะถูกชดเชยด้วยปัจจัยด้านอ่อนค่า เช่น ความอ่อนแอของเศรษฐกิจไทย และมาตรการรัฐ โดยมองกรอบเงินบาทปลายปีที่ราว 31.25-32.25 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ


นายแพททริก ปูเลีย รองผู้จัดการใหญ่ Head of Financial Markets Function ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่าเงินบาทในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมากลับอ่อนค่าลง หลังจากที่แข็งค่าแตะระดับสูงสุดในรอบ 4 ปีเมื่อช่วงกลางเดือนกันยายน 2568 โดยปัจจัยที่ทำให้บาทกลับมาอ่อนค่าลงมาจาก 


1. ดัชนีเงินดอลลาร์กลับมาแข็งค่า หลังเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ บางตัวออกมาดีกว่าที่ตลาดคาด โดยถึงแม้เลข Nonfarm payrolls จะถูกเลื่อนการเผยแพร่ออกไปจาก US government shutdown แต่ยอดค้าปลีก ผลผลิตอุตสาหกรรม และการบริโภคเอกชนของสหรัฐฯ ยังออกมาดี 


2. แม้ราคาทองคำจะปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง แต่ความสัมพันธ์ของราคาทองคำกับเงินบาทสัปดาห์ที่ผ่านมาเปลี่ยนไป โดยราคาทองคำสูงขึ้นแต่เงินบาทอ่อนค่า เพราะที่ผ่านมาผู้ค้าทองคำได้ขายทองเพื่อทำกำไรไปมากแล้ว กอปรกับมุมมองว่าราคาทองคำอาจสูงขึ้นอีกได้ ทำให้มีอุปสงค์ซื้อทองคำเพิ่มในตลาด offshore จึงมีการแลกเงินบาทเป็นดอลลาร์ กดดันบาทอ่อน 


3. เลขเศรษฐกิจไทยยังอ่อนแอ โดยการส่งออกเดือนสิงหาคม 2568  ชะลอลงแรง ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดไทยกลับมาขาดดุลอีกครั้ง นอกจากนี้ เงินเฟ้อทั่วไปยังติดลบต่อเนื่องและมากกว่าที่ตลาดคาด


ปัจจัยเรื่องการปิดทำการของภาครัฐสหรัฐฯ (US government shutdown) ก็ส่งผลต่อเงินบาทในระยะสั้นเช่นกัน โดยหลังจากที่รัฐบาลสหรัฐฯ ไม่สามารถผ่านร่างงบประมาณได้ ทำให้หน่วยงานรัฐบาลตกอยู่ในภาวะปิดทำการ ซึ่งทางทีมงานได้ย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ US government shutdown ในอดีต และพบว่า การปิดทำการของภาครัฐส่งผลให้ดัชนีเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงโดยเฉลี่ย และพบอีกว่ายิ่งการปิดทำการลากยาวเท่าไหร่ ยิ่งส่งผลให้ดัชนีเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงมากขึ้น


ซึ่งในปี 2018 ที่เกิดการ shutdown ถึง 1 เดือน ส่งผลให้ดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงสูงสุดเกือบ 2% อย่างไรก็ดี ในเดือนตุลาคมนี้ พบว่าดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐยังไม่อ่อนค่าลงมากนัก และล่าสุดเริ่มเห็นสัญญาณที่พรรค Republican และพรรค Democrat อาจกลับมาเจรจาเพื่อให้รัฐเปิดทำการได้ โดย Trump เริ่มมีท่าทีผ่อนปรนขึ้น และกล่าวว่าหาก Democrat ยอมโหวตให้ร่างงบประมาณผ่านได้ จะเจรจาเรื่องเงินอุดหนุนด้านสาธารณสุขซึ่งเป็นประเด็นที่ Democrat เรียกร้อง


ดังนั้นหากสถานการณ์ดีขึ้น ดัชนีเงินดอลลาร์อาจปรับสูงขึ้นอีกได้ ทำให้บาทอาจอ่อนค่าต่อได้ในระยะสั้น โดยมองกรอบที่ราว 32.40-32.90 สำหรับในระยะยาว มองว่าเงินบาทอาจจะกลับมาแข็งค่าได้อีก เนื่องจาก 


1. ส่วนต่างดอกเบี้ยระหว่างสหรัฐฯ และประเทศอื่นที่จะแคบลง เพราะ Fed มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้ และอีกอย่างน้อย 1 ครั้งในช่วงต้นปีหน้า ขณะที่ธนาคารกลางหลักอื่นจะลดดอกเบี้ยได้น้อยกว่า จึงทำให้ดัชนีเงินดอลลาร์มีโอกาสอ่อนค่าลงอีกได้ 

2. สกุลเงินหลักอื่น เช่น ยูโร อาจแข็งค่าต่อ ตามมาตรการสนับสนุนของภาครัฐที่คาดว่าจะมีการใช้จ่ายและลงทุนมากขึ้นในระยะข้างหน้า ซึ่งจะช่วยหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยุโรปด้วย 

3. แม้นักลงทุนโลกจะกลับมาลงทุนในสินทรัพย์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น แต่พบว่าทำผ่าน FX-hedging ส่งผลให้เงินดอลลาร์จะไม่แข็งค่า นอกจากนี้ คาดว่า Hedging cost จะมีแนวโน้มถูกลงตามส่วนต่างดอกเบี้ยที่แคบลง จึงทำให้คาดได้ว่าอาจมีการทำ Hedging เพิ่มขึ้นต่อไปได้ 

4. แนวโน้มเงินทุนเคลื่อนย้ายยังอาจไหลเข้า EM-Asia ต่อได้ เนื่องจากคาดว่าเงินเฟ้อในเอเชียจะยังต่ำ ขณะที่ความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจในระยะข้างหน้ายังสูง จึงมองว่ามีโอกาสที่ธนาคารกลางในเอเชียจะลดดอกเบี้ยต่อได้ ซึ่งจะดึงดูดให้เงินทุนไหลเข้าในภูมิภาค


อย่างไรก็ดี การแข็งค่าของเงินบาทจะไม่มากนัก เนื่องจากจะมีปัจจัยด้านอ่อนค่าเข้ามาประคองมากขึ้น คือ 

1. เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มชะลอลง โดยเฉพาะภาคการส่งออกจากผลของ Tariffs 

2. ความกังวลเรื่อง Credit rating ของไทยที่อาจทำให้ความเชื่อมั่นต่อสินทรัพย์ไทยลดลง 

3. การเมืองและการคลังในต่างประเทศ (เช่น ยุโรป และญี่ปุ่น) อาจทำให้สกุลเงินเหล่านั้นอ่อนค่า และดันให้เงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าตามในบางช่วง 

4. การออกมาตรการของภาครัฐ เพื่อควบคุมเงินทุนที่ไหลเข้าไทย จึงอาจช่วยชะลอการแข็งค่าของเงินบาทอีกด้วย


ข่าวที่เกี่ยวข้อง