แม่อุ้มลูกน้อยหนีล็อกดาวน์ เดินกลับบ้านสู่ป่าแอมะซอน 500ก.ม. ดีกว่าอดตาย
แม่อุ้มลูกน้อยหนีล็อกดาวน์ - ซีเอ็นเอ็น รายงานชีวิตของแม่ชาวเปรูที่ต้องพาลูกสามคน เป็นวัยรุ่นคนหนึ่ง และยังเล็กอีกสองคน เดินเท้าจากเมืองหลวงกลับบ้าน แม้เป็นระยะทางไกลมาก เพราะด้วยฐานะยากจน และทำมาหากินในเมืองกรุงไม่ได้อีกต่อไป
https://www.youtube.com/watch?v=o7xaDCMwAPs
นางมาเรีย แทมโบ คือคุณแม่คนดังกล่าว หันหลังให้กรุงลิมาของเปรู ออกเดินทางด้วยการเดินมุ่งหน้าสู่กลับบ้านเกิดในป่าแอมะซอน ท่ามกลางความกลัว ความสิ้นหวัง ขณะที่ลูกๆ หิวโหย
มาเรียและลูกๆ จากบ้านเกิดในผืนป่าแอมะซอน มุ่งหน้าเข้ากรุงลิมาเป็นครั้งแรกเพื่อ “อมีลี” ลูกสาวคนโต วัย 17 ปี ได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย หลัง ได้รับทุนการศึกษาเรียนที่มหาวิทยาลัยเซียนติฟิกา เดล ซูร์ ในกรุงลิมา เป็นสมาชิกคนแรกในบ้านที่สานฝันของครอบครัวให้เป็นจริง
แต่ชีวิตในเมือง ต้องอยู่ในห้องเช่าเล็กๆ โดยมาเรียทำงานในร้านอาหารเพื่อหาเงินเลี้ยงชีพ เมื่อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ระบาดในเปรู ธุรกิจหยุดชะงัก คนทำงานกว่าร้อยละ 70 ในภาคธุรกิจที่ไม่เป็นทางการได้รับผลกระทบอย่างหนัก มาเรียตกงานและไม่มีโอกาสหางานทำได้อีก
หลังจากกักตัวอยู่ในเมืองหลวงเกือบ 2 เดือน ครอบครัวเล็กๆ ไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าห้องหรือค่าอาหาร มาเรียจึงตัดสินใจกลับบ้านที่แคว้นอูกายาลิ ห่างจากเมืองหลวง 563 กิโลเมตร
เนื่องจากระบบขนส่งสาธารณะยังปิดให้บริการ หนทางเดียวที่จะกลับบ้านได้ คือ การเดินเท่านั้น
มาเรียกล่าวว่ารู้อยู่เต็มอกว่าอันตรายเพราะมีลูกๆ ไปด้วย แต่ไม่มีทางเลือก เพราะถ้าอยู่ที่ห้องเช่าก็คงอดตายหรืออาจตายเพราะเดินกลับบ้าน
ผู้สื่อข่าวซีเอ็นเอ็นประจำเปรู ทราบเรื่องราวของมาเรีย อายุ 40 ปี ผ่านแอปพลิเคชัน WhatsApp ซึ่งมีคนหลายพันคนพูดถึง
ไม่มีเงินเหลืออีกแล้ว
มาเรียกล่าวกับนักข่าวว่าไม่ได้ออกบ้านเพราะรัฐบาลประกาศให้กักตัว แต่เป็นเพราะว่าไม่มีเงินเหลืออีกแล้วและอนุญาตให้นักข่าวติดตามเธอไปบนเส้นทางเดินที่แสนอันตรายเพื่อบอกเล่าเรื่องราว
มาเรียและลูกๆ ออกจากกรุงลิมา ต้นเดือน พ.ค. ผู้เป็นแม่สวมหน้ากากอนามัยและอุ้ม “เมเลค” ลูกสาวคนเล็ก พร้อมทั้งแบกเป้หลากสีลายหัวใจไปด้วย ส่วน “อมีลี” และ “ยาชิรา” ลูกสาวคนกลางวัย 7 ขวบ เดินเคียงกันไปและหิ้วสัมภาระของตัวเอง
ครอบครัวแทมโบ มีเพื่อนร่วมทางมากมาย เพราะมีชาวเปรูหลายพันคนเดินไปตามถนนเพื่อหนีไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่และไร้รายได้
การเดินทางแสนยาวไกล ผ่านทางหลวงฝุ่นคลุ้ง เดินตามรางรถไฟ เดินไปถนนนอกเมืองอันมืดมิด ไต่ระดับความสูงของเทือกเขาแอนดิส ก่อนเข้าป่าฝนแอมะซอน
แม่และลูกสาว 3 คนทนเดินท่ามกลางความร้อนชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า โดยไม่มีอาหารหรือน้ำเติมพลัง
มาเรียร้องไห้เบาๆ กับลูกคนเล็ก พลางบอกตัวเองว่า “ไม่มีทางเดิน หนูต้องทำทางเดินเอาเองนะ”
เมื่ออ่อนล้าเต็มทน แม่และลูกๆ ใช้วิธีโบกรถ บางครั้ง เจอคนขับรถใจดีให้ร่วมทางและยังให้อาหารบรรเทาความหิว
แต่สี่แม่ลูกโบกรถเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น ส่วนใหญ่ใช้วิธีเดิน
ล่วงเข้าสู่วันที่ 3 การเดินทางยากลำบากขึ้นเพราะอากาศเบาบางยิ่งขึ้น เมื่อยิ่งเข้าใกล้เทือกเขาแอนดิส ที่มีความสูง 4,572 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล
โชคดีที่คนขับรถบรรทุกคนหนึ่งเห็นใจแม่ลูก ยอมให้ติดรถไปอีกเมืองหนึ่งและหยิบยื่นอาหารให้
มาเรียกล่าวด้วยความตื้นตันใจว่า เดินมาไกลเหลือเกิน พร้อมกับพยายามกลั้นน้ำตาไว้ข้างใน
ระหว่างการเดินทาง ทั้ง 4 คนได้พักเท้าน้อยมาก มาเรียกล่าวว่า มือของลูกสาวกลายเป็นสีม่วงแล้ว
ตลอดเส้นทางกลับบ้าน แม่ลูกสู้อดทนต่ออุปสรรคนานา รวมทั้ง ต้องชี้แจงกับตำรวจที่จุดตรวจเพื่อสกัดไม่ให้คนที่มาจากกรุงลิมาซึ่งเป็นศูนย์กลางการระบาดไวรัสและแพร่สู่ชนบท
แม้ว่าเปรูประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์ แต่เป็นหนึ่งในประเทศที่มีการระบาดไวรัสรุนแรงที่สุดในโลก มีผู้ติดไวรัสกว่า 230,000 คน และเสียชีวิตกว่า 6,800 ราย ซึ่งผู้เชี่ยวชาญประเมินว่าตัวเลขที่แท้จริงอาจสูงกว่านี้ ขณะที่โรงพยาบาลเต็มไปด้วยคนไข้
มาเรีย เดินทางถึงเมืองซาน รามอน ก่อนเข้าป่า มีตำรวจห้ามไม่ให้เธอและลูกๆ ผ่านทาง แต่มาเรียเลี่ยงบอกว่ากำลังจะกลับฟาร์มในชาปาร์นารานจา ซึ่งมาอยู่ได้ครบสัปดาห์แล้ว
เธอพูดปด เพราะหากพูดความจริงว่ามาจากเมืองหลวง คงไปต่อไม่ได้ จึงจำเป็นต้องทำทุกอย่างเพื่อให้อยู่รอด เธอกล่าวว่าไวรัสไม่น่ากลัวเท่ากับอดตาย
หลังจากเดินทางมาได้ 7 วัน 7 คืน ระยะทาง 482 กิโลเมตร มาเรียและลูกๆ ก็มาถึงแคว้นอูกายาลิซึ่งเป็นถิ่นที่อยู่ของชนพื้นเมืองเผ่าอาชานินกา
การเดินทางผ่านอุปสรรคต่างๆ มาได้ แต่สะดุดกับอุปสรรคสุดท้าย ก่อนเข้าหมู่บ้าน
หัวหน้าเผ่าห้ามคนที่มาจากกรุงลิมาเข้าเพราะหากมีคนติดไวรัสสักคนหนึ่ง อาจทำให้คนอื่นๆ ติดไปด้วยโดยไม่มีทางหนีและทุกคนต้องอาศัยอากาศหายใจ ส่วนศูนย์สุขภาพก็ไม่มีอุปกรณ์การแพทย์ต่อสู้กับไวรัส
แต่มาเรียไม่ลดละความพยายาม เธอชี้แจงกับหัวหน้าเผ่าจนได้รับอนุญาตให้เข้าได้ โดยมีเงื่อนไขว่าเธอและลูกๆ ต้องกักตัวเอง 14 วัน
ครอบครัวเล็กๆ จากเมืองหลวง เดินทางถึงบ้านเกิดย่ำค่ำ มาเรียดีใจมากที่สุนัขที่เลี้ยงไว้วิ่งเข้ามาห้อมล้อมต้อนรับ ดมกลิ่นเจ้านายและลูกน้อยในอ้อมแขนพร้อมกระดิกหาง ขณะที่เธอคุกเข่าและสะอื้นไห้ ขอบคุณพระเจ้าที่นำพาเธอกลับบ้าน
น้ำตาไหลอาบแก้มมาเรีย เมื่อ “คาเฟ็ต” สามีและพ่อสามี มาหาท่ามกลางความมืด ทุกคนมีความสุข แม้ต้องห่างกันและกอดกันไม่ได้เพราะกลัวไวรัส
มาเรียกล่าวทั้งน้ำตาว่า “ยากเหลือเกิน เราทุกข์ทนมามากเกินไปแล้วและไม่อยากกลับไปกรุงลิมาอีกเพราะคิดว่าเกือบจะเอาชีวิตไปทิ้งพร้อมกับลูกๆ เสียแล้ว”
///////
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : ทริปทรหด2พันกิโล อินเดียเดินฝ่าโควิด พอถึงบ้าน เพื่อนถูกงูกัดตาย